ยชว. 9:1 เมื่อพวกกษัตริย์ที่อยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือที่อยู่ในแดนเทือกเขาและในที่ลุ่ม และตามชายฝั่งทะเลใหญ่จนถึงเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว. 9:2 จึงพร้อมใจร่วมกำลังกันจะต่อสู้โยชูวาและอิสราเอล
ยชว. 9:3 แต่เมื่อชาวกิเบโอนได้ยินถึงสิ่งซึ่งโยชูวาทำต่อเมืองเยรีโคและเมืองอัย
ยชว. 9:4 พวกเขาจึงทำการโดยใช้กลอุบาย คือออกไปและทำเป็นผู้สื่อสาร เอากระสอบขาดๆ บรรทุกบนลาของเขา กับถุงหนังบรรจุเหล้าองุ่นที่เก่าขาดและมีรอยปะ
ยชว. 9:5 สวมรองเท้าเก่าปุปะ และสวมเสื้อผ้าเก่า ส่วนขนมปังทั้งหมดที่เป็นเสบียงอาหารก็แห้งมีราขึ้น
ยชว. 9:6 เขาเดินทางมาหาโยชูวาที่ค่าย ณ เมืองกิลกาล กล่าวแก่ท่านและคนอิสราเอลว่า “พวกเรามาจากประเทศที่ห่างไกล ขอทำพันธสัญญากับเราเถิด”
ยชว. 9:7 แต่คนอิสราเอลกล่าวแก่คนฮีไวต์เหล่านั้นว่า “บางทีเจ้าอาจจะอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเรา เราจะทำพันธสัญญากับเจ้าได้อย่างไร?”
ยชว. 9:8 เขากล่าวแก่โยชูวาว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน” และโยชูวากล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้าเป็นใครกันและมาจากที่ไหน?”
ยชว. 9:9 เขาตอบท่านว่า “ผู้รับใช้ของท่านมาจากประเทศที่ไกลมาก เนื่องด้วยพระนามแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เราได้ทราบถึงกิตติศัพท์ของพระองค์และพระราชกิจทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงทำในอียิปต์
ยชว. 9:10 และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำต่อกษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งสองพระองค์ผู้อยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานผู้อยู่ที่อัชทาโรท
ยชว. 9:11 ด้วยเหตุนี้ พวกผู้ใหญ่ และผู้คนทั้งสิ้นในดินแดนของเรา จึงกล่าวแก่เราว่า ‘จงเอาเสบียงสำหรับเดินทางไปหาพวกเขา เรียนเขาว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน ขอทำพันธสัญญากับเราเถิด” ’
ยชว. 9:12 ขนมปังของเรานี้ในวันที่เราออกมาหาพวกท่าน เราเอาออกจากบ้านเมื่อยังร้อนๆ อยู่เพื่อใช้เป็นอาหารรับประทานตามทาง แต่บัดนี้ ดูสิ แห้งและราขึ้นแล้ว
ยชว. 9:13 ถุงนี้เมื่อเราเติมเหล้าองุ่นก็ยังใหม่อยู่ แต่นี่แน่ะ มันขาดแล้ว เสื้อผ้าและรองเท้าของเราก็เก่า เพราะหนทางไกลมาก”
ยชว. 9:14 คนเหล่านั้นก็รับเสบียงของเขามา แต่ไม่ได้ทูลขอการแนะนำจากพระยาห์เวห์
ยชว. 9:15 และโยชูวาก็ทำสัญญาสันติภาพกับพวกเขา และทำพันธสัญญากับเขาให้ไว้ชีวิตพวกเขา และพวกผู้นำของชุมนุมชนก็สาบานต่อเขา
ยชว. 9:16 เมื่อได้ทำพันธสัญญากับเขาผ่านมาสามวัน ก็ได้ยินว่าพวกเหล่านั้นเป็นเพื่อนบ้านอยู่ท่ามกลางพวกตน
ยชว. 9:17 และคนอิสราเอลก็ออกเดินไปถึงเมืองของเขาในวันที่สาม เมืองของเขานั้นคือเมืองกิเบโอน เคฟีราห์ เบเอโรท และคีริยาทเยอาริม
ยชว. 9:18 แต่คนอิสราเอลไม่ได้ฆ่าเขา เพราะว่าพวกผู้นำของชุมนุมชน ได้สาบานต่อพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว ชุมนุมชนก็บ่นต่อว่าพวกผู้นำ
ยชว. 9:19 แต่พวกผู้นำได้กล่าวแก่ชุมนุมชนทั้งปวงว่า “เราได้สาบานต่อพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ดังนั้น เราจะแตะต้องเขาไม่ได้
ยชว. 9:20 เราต้องทำต่อพวกเขาอย่างนี้โดยให้เขามีชีวิตอยู่ เพื่อไม่ให้พระพิโรธตกลงเหนือเรา ตามคำสาบานซึ่งเราได้สาบานต่อพวกเขานั้น”
ยชว. 9:21 และพวกผู้นำก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ให้พวกเขามีชีวิตอยู่เถิด” พวกเขาจึงเป็นคนตัดฟืนและเป็นคนตักน้ำให้ชุมนุมชนทั้งหมด ดังที่พวกผู้นำได้บอกพวกเขาไว้
ยชว. 9:22 โยชูวาจึงเรียกคนเหล่านั้นมาและท่านกล่าวแก่เขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงหลอกลวงเราโดยกล่าวว่า ‘เราอยู่ห่างไกลจากท่านมาก’ ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา?
ยชว. 9:23 เจ้าทั้งหลายจึงถูกสาปแช่งและพวกเจ้าจะไม่ขาดจากการเป็นทาส คือเป็นคนตัดฟืนและเป็นคนตักน้ำสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา”
ยชว. 9:24 เขาทั้งหลายตอบโยชูวาว่า “เพราะผู้รับใช้ของท่านได้ทราบมาอย่างแน่นอนว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ให้มอบแผ่นดินนี้ทั้งหมดแก่ท่าน และให้ทำลายชาวแผ่นดินให้พ้นหน้าท่าน ดังนั้น เราจึงกลัวมากว่าพวกท่านจะทำอันตรายต่อชีวิตของเรา เราจึงทำอย่างนี้
ยชว. 9:25 นี่แน่ะ บัดนี้เราอยู่ในมือของท่าน จงทำต่อเราตามที่ท่านเห็นดีเห็นชอบเถิด”
ยชว. 9:26 โยชูวาจึงทำเช่นนั้น คือให้พวกเขารอดจากมือประชาชนอิสราเอล ไม่ให้ประหารชีวิตเขาเสีย
ยชว. 9:27 ในวันนั้นโยชูวาได้ตั้งพวกเขาให้เป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับชุมนุมชน และสำหรับแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกสืบมาจนทุกวันนี้
ยชว. 10:1 เมื่ออาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทรงได้ยินว่า โยชูวาได้ยึดเมืองอัย และทำลายเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิงแล้ว (ท่านได้ทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนี้ อย่างเดียวกับที่ได้ทำต่อเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น) และทรงทราบด้วยว่าชาวเมืองกิเบโอนได้ทำสันติภาพกับอิสราเอลแล้วและอยู่ท่ามกลางพวกเขา
ยชว. 10:2 พวกเขาก็กลัวมาก เพราะว่ากิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เสมอเมืองหลวง และใหญ่กว่าเมืองอัย และบุรุษชาวเมืองนั้นก็ล้วนเป็นนักรบกล้าหาญ
ยชว. 10:3 ด้วยเหตุนี้อาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มจึงทรงให้ไปหาโฮฮัมกษัตริย์แห่งเฮโบรน และปิรามกษัตริย์แห่งยารมูท และยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีช และเดบีร์กษัตริย์แห่งเอกโลน ทูลว่า
ยชว. 10:4 “ขอเชิญท่านมาหาข้าพเจ้า และช่วยข้าพเจ้าตีเมืองกิเบโอนเถิด เพราะว่าเมืองนั้นได้ทำสันติภาพกับโยชูวา และประชาชนอิสราเอล”
ยชว. 10:5 กษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งห้าพระองค์ คือกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน ก็ทรงรวบรวมกำลังของตน และทรงยกขึ้นไปพร้อมกับกองทัพทั้งหลายตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบโอน
ยชว. 10:6 ชาวเมืองกิเบโอนจึงใช้คนไปหาโยชูวาที่ค่ายในกิลกาล กล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้ปล่อยมือจากผู้รับใช้ของท่านเลย ขอเร่งขึ้นมาช่วยพวกเราให้รอดและช่วยเหลือเรา เพราะว่าบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขา ได้รวมกำลังกันต่อสู้เรา”
ยชว. 10:7 โยชูวาจึงขึ้นไปจากกิลกาล ทั้งท่านและพวกทหารและนักรบกล้าหาญทุกคน
ยชว. 10:8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวเขาเลยเพราะเราได้มอบเขาไว้ในมือเจ้าแล้ว จะไม่มีใครในพวกเขาสักคนเดียวที่จะยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้”
ยชว. 10:9 โยชูวาจึงยกเข้าโจมตีพวกนั้นทันที โดยเดินทางตลอดคืนจากกิลกาล
ยชว. 10:10 พระยาห์เวห์ทรงทำให้พวกเขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าอิสราเอลซึ่งได้ฆ่าพวกเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามพวกเขาไปตามทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าพวกเขาไปจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
ยชว. 10:11 ขณะเมื่อพวกเขาหนีไปข้างหน้าอิสราเอล ไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระยาห์เวห์ทรงโยนหินใหญ่ๆ ลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่ประชาชนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
ยชว. 10:12 แล้วโยชูวาก็ทูลพระยาห์เวห์ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงมอบคนอาโมไรต์แก่ประชาชนอิสราเอลนั้น และท่านได้กล่าวต่อหน้าอิสราเอลว่า “ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่งตรงเมืองกิเบโอน และดวงจันทร์เอ๋ย ตรงหุบเขาอัยยาโลน”
ยชว. 10:13 ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็นิ่งอยู่ จนชนชาตินี้ได้แก้แค้นศัตรูของเขาเสร็จ เรื่องนี้มีจารึกไว้ในหนังสือยาชาร์ไม่ใช่หรือ? ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า ไม่ได้รีบตกไปตามเวลาประมาณหนึ่งวันเต็ม
ยชว. 10:14 ทั้งในสมัยก่อนหรือในสมัยต่อมา ไม่มีวันอย่างนั้นอีกแล้วที่พระยาห์เวห์ทรงสดับฟังเสียงของมนุษย์ เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้เพื่ออิสราเอล
ยชว. 10:15 แล้วโยชูวากับอิสราเอลทั้งหมดก็กลับมาสู่ค่ายที่กิลกาล
ยชว. 10:16 กษัตริย์ทั้งห้านั้นทรงหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมักเคดาห์
ยชว. 10:17 มีคนไปบอกโยชูวาว่า “มีคนพบกษัตริย์ทั้งห้าทรงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์”
ยชว. 10:18 โยชูวาจึงกล่าวว่า “จงกลิ้งหินใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำเสีย และวางยามเฝ้าพวกเขาไว้
ยชว. 10:19 แต่พวกท่านอย่าคอยอยู่เลยจงติดตามศัตรูของท่านไปเถิด จงเข้าโจมตีกองระวังหลังอย่าให้กลับเข้าในเมืองของเขาได้ เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่านแล้ว”
ยชว. 10:20 เมื่อโยชูวากับประชาชนอิสราเอลเสร็จจากการฆ่าคนเหล่านั้นเสียเป็นอันมากแล้ว ผู้ที่เหลืออยู่ก็หนีเข้าไปในเมืองที่มีกำแพงล้อม
ยชว. 10:21 ประชาชนก็กลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่มักเคดาห์โดยสวัสดิภาพทุกคน ไม่มีใครกล้ากล่าวร้ายพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป
ยชว. 10:22 แล้วโยชูวาจึงกล่าวว่า “จงเปิดปากถ้ำนำกษัตริย์ทั้งห้านั้นออกจากถ้ำมาหาเรา”
ยชว. 10:23 พวกเขาก็ทำตาม นำกษัตริย์ทั้งห้าออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน
ยชว. 10:24 เมื่อพวกเขานำกษัตริย์เหล่านั้นมาหาโยชูวา โยชูวาจึงเรียกคนอิสราเอลทั้งหมดมาและสั่งหัวหน้าของทหารที่ออกไปรบพร้อมกับท่านว่า “จงเข้ามาใกล้เถิด เอาเท้าเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้” แล้วพวกเขาก็เข้ามาใกล้และเอาเท้าเหยียบที่คอ
ยชว. 10:25 และโยชูวากล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวหรือตกใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าพระยาห์เวห์จะทรงทำต่อศัตรูทั้งหมดของท่านซึ่งท่านสู้รบด้วยอย่างนี้แหละ”
ยชว. 10:26 ภายหลังโยชูวาได้ประหารชีวิตกษัตริย์ทั้งห้าเสีย แล้วแขวนไว้ที่ต้นไม้ห้าต้น แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นนั้นจนเวลาเย็น
ยชว. 10:27 แต่เมื่อถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก โยชูวาได้บัญชาและเขาก็ปลดพระศพลงจากต้นไม้และทิ้งไว้ในถ้ำ ซึ่งกษัตริย์เหล่านั้นได้ซ่อนตัวอยู่ และเอาหินใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำนั้นไว้ ซึ่งยังอยู่จนกระทั่งวันนี้
ยชว. 10:28 ในวันนั้นโยชูวายึดเมืองมักเคดาห์ได้ และประหารเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ทั้งกษัตริย์ของเมืองนั้นด้วย ท่านได้ทำลายพวกเขาเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองไม่มีเหลือสักคนเดียว และท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์อย่างที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
ยชว. 10:29 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองมักเคดาห์มาถึงลิบนาห์ และเข้าสู้รบกับเมืองลิบนาห์
ยชว. 10:30 พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบเมืองนั้นกับกษัตริย์ไว้ในมือคนอิสราเอล และท่านได้ประหารเมืองนั้นกับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นด้วยคมดาบ ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียวในเมืองนั้น และท่านได้ทำต่อกษัตริย์ของเมืองนั้นอย่างที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
ยชว. 10:31 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลิบนาห์มาถึงลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว. 10:32 พระยาห์เวห์ทรงมอบเมืองลาคีชไว้ในมืออิสราเอล และท่านก็ได้ยึดเมืองนั้นในวันที่สอง และประหารทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นด้วยคมดาบ ดังทุกสิ่งที่ท่านได้ทำต่อเมืองลิบนาห์
ยชว. 10:33 ครั้งนั้นโฮรามกษัตริย์แห่งเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช และโยชูวาได้ประหารพระองค์กับคนของพระองค์ จนไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย
ยชว. 10:34 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลาคีชมาถึงเอกโลน ได้เข้าล้อมและโจมตีเมืองนั้น
ยชว. 10:35 และเขาก็ตีได้ในวันที่สองและฆ่าทุกคนด้วยคมดาบจนทำลายเขาเสียสิ้นในวันนั้น ดังทุกสิ่งที่ท่านได้ทำต่อเมืองลาคีช
ยชว. 10:36 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปจากเมืองเอกโลนมาถึงเฮโบรน และเข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว. 10:37 ยึดเมืองนั้นแล้วก็ประหารกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด กับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียวดังที่ท่านได้ทำต่อเมืองเอกโลน และได้ทำลายเมืองนั้นกับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียสิ้น
ยชว. 10:38 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็๋กลับมายังเมืองเดบีร์ เข้าโจมตีเมืองนั้น
ยชว. 10:39 ท่านได้ยึดเมืองนั้นรวมทั้งกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด และได้ประหารพวกเขาเสียด้วยคมดาบ และได้ทำลายทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิง ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียว ท่านทำต่อเมืองเฮโบรนอย่างไร ท่านก็ทำต่อเมืองเดบีร์และต่อกษัตริย์ของเขาอย่างนั้น ดังที่ทำต่อเมืองลิบนาห์และต่อกษัตริย์ของเขาเช่นกัน
ยชว. 10:40 โยชูวาก็โจมตีแผ่นดินนั้นได้ทั้งหมด คือแดนเทือกเขา เนเกบ ที่ลุ่ม และที่ลาด ทั้งกษัตริย์ทั้งหมดของเมืองเหล่านั้นด้วย ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียว แต่ได้ทำลายทุกสิ่งที่หายใจเสีย ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ทรงบัญชาไว้
ยชว. 10:41 โยชูวาโจมตีพวกเขาได้ตั้งแต่เมืองคาเดชบารเนียจนถึงเมืองกาซา และทั่วแผ่นดินโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน
ยชว. 10:42 กษัตริย์เหล่านี้ทั้งหมดพร้อมทั้งแผ่นดินของพระองค์ โยชูวายึดได้ในคราวเดียว เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ทรงสู้รบเพื่ออิสราเอล
ยชว. 10:43 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็กลับมายังค่ายที่กิลกาล
1ยน. 1:1 เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต
1ยน. 1:2 (และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา)
1ยน. 1:3 สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
1ยน. 1:4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
1ยน. 1:5 นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
1ยน. 1:6 ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง
1ยน. 1:7 แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
1ยน. 1:8 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย
1ยน. 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
1ยน. 1:10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย
1ยน. 2:1 ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายเพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น
1ยน. 2:2 และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา และไม่ใช่แค่บาปของเราเท่านั้น แต่ของทั้งโลกด้วย
1ยน. 2:3 ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์
1ยน. 2:4 ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย
1ยน. 2:5 แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง เพราะเหตุนี้แหละเราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์
1ยน. 2:6 ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
1ยน. 2:7 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านเลย แต่เป็นบัญญัติเก่าซึ่งท่านเคยมีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก บัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว
1ยน. 2:8 อีกนัยหนึ่งก็กล่าวได้ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงพวกท่านซึ่งเป็นความจริงทั้งในพระองค์และในท่าน เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะผ่านพ้นไป และความสว่างแท้กำลังส่องอยู่แล้ว
1ยน. 2:9 ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด
1ยน. 2:10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด
1ยน. 2:11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืดและไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
1ยน. 2:12 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์
1ยน. 2:13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านได้ชนะมารร้ายนั้น
1ยน. 2:14 ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะพวกท่านมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในพวกท่าน และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว
1ยน. 2:15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
1ยน. 2:16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก
1ยน. 2:17 และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
1ยน. 2:18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาว่าศัตรูของพระคริสต์จะมา เดี๋ยวนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว
1ยน. 2:19 พวกเขาได้ออกไปจากเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาได้ออกไปนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้เป็นของเรา
1ยน. 2:20 แต่พวกท่านได้รับการชโลมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านทุกคนก็มีความรู้
1ยน. 2:21 ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงพวกท่าน ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริง
1ยน. 2:22 ใครล่ะเป็นคนที่โกหก ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนที่ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ใช่พระคริสต์ ผู้ที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์
1ยน. 2:23 ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร ไม่มีพระบิดา ผู้ที่ยอมรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย
1ยน. 2:24 ท่านทั้งหลาย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าสิ่งที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านก็จะอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย
1ยน. 2:25 นี่แหละเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์
1ยน. 2:26 ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงพวกท่าน กล่าวถึงพวกที่พยายามหลอกลวงท่าน
1ยน. 2:27 ส่วนท่านทั้งหลาย การชโลมซึ่งท่านได้รับจากพระองค์นั้นก็ดำรงอยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน เพราะว่าการชโลมของพระองค์นั้นสอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การชโลมนั้นสอนพวกท่านแล้วอย่างไร ท่านจงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น
1ยน. 2:28 และบัดนี้ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา
1ยน. 2:29 ถ้าพวกท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรมนั้นเกิดมาจากพระองค์ด้วย