วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ฮักกัยคู่ร่วมประสานซะคาระยาในการก่อสร้างพระวิหารบริสุทธิ์อันศักสิทธิ์ของพระเจ้า

ในระหว่างเวลาที่ชาวอิสราเอลได้หยุดก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่นั้น

 

ในเวลานั้นเค้าเหล่านั้นเค้าเหล่านั้นก็ได้สร้างบ้านเรือนของตนเองอย่างงดงามสวยหรู จนลืมเรื่องการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าเสียสิ้น

 

ประกอบกับเวลานั้นการต่อต้านและการขัดขวางศัตรูมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา และยิ่งกว่านั้นเกิดความอ้างว้างและเกิดความกันดารมีขึ้นอย่างมากมาย 

 

ชาวอิสราเอลจึงนึกคิดว่าเวลาแห่งการก่อสร้างพระวิหารให้กับพระเจ้ายังคงมาไม่ถึงละทิ้งไว้ก่อน.

“พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนเหล่านี้กล่าวว่า เวลานั้นยังไม่มาถึง คือเวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์”                        ฮักกัยบทที่1ข้อ2   “โอ้ เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วหรือที่ตัวเจ้าเองอาศัยอยู่ในบ้านที่มีไม้บุ แต่ส่วนพระนิเวศนี้ทิ้งให้พังทลาย                          ฮักกัยบทที่1ข้อ4
เจ้าหว่านมาก แต่เกี่ยวน้อย เจ้ารับประทาน แต่ไม่เคยอิ่ม เจ้าดื่ม แต่ก็ไม่เคยหายอยาก เจ้านุ่งห่ม แต่ก็ไม่มีใครอุ่น ผู้ที่ได้ค่าจ้าง ก็ได้ค่าจ้างมาใส่ถุงที่มีรู
                         ฮักกัยบทที่1ข้อ6

เพราะฉะนั้น ท้องฟ้าที่อยู่เหนือเจ้าจึงยั้งน้ำค้างไว้เสีย และโลกก็ยึดพืชผลของมันไว้เสีย
                          ฮักกัยบทที่1ข้อ10
จากสภาพการณ์เช่นนี้เองพระเจ้าจึงได้ทรงใช้ ศาสดาพยากรณ์ฮาฆีจึงได้ลุกขึ้นป่าวประกาศพระคำของพระเจ้าเพื่อหนุนใจชาวอิสราเอลที่ได้กลับคืนมาให้ดำเนินการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่ต่อไปจนกว่าพระวิหารของพระเจ้าจะก่อสร้างสำเร็จ
พระคำของพระเจ้าจึงได้มาถึงศาสดาพยากรณ์ฮาฆีว่า 

พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงพิจารณาดูว่า เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไร

พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปที่เนินเขาและนำไม้มาสร้างพระนิเวศ เราจะมีความพอใจในพระนิเวศนั้น และเราจะได้รับเกียรติ
                          ฮักกัยบทที่1ข้อ7-8
พระเจ้าได้ทรงใช้ศาสดาพยากรณ์ฮักกัยมาติเตียนเตือนสติพลไพร่ของพระองค์ว่า การที่พวกเขาเหล่านั้นได้รับภัยพิบัติต่างๆๆมากมาย และต้องรับการทนทุกข์ทรมารยากลำบาก เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รู้จักสำรวจตรวจสอบการประพฤติของตนเอง

พวกเขาไม่ควรที่จะปล่อยให้พระวิหารของพระเจ้าเป็นที่รกร้างว่างเสีย แต่พวกเขาควรขึ้นไปยังภูเขาเพื่อไปหาไม้และวัสดุมาก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้า

ด้วยคำเตือนของพระเจ้าผ่านมายังศาสดาพยากรณ์ฮักกัยนี้ ยะโอซูอ่ะปุโรหิตใหญ่บุตรของยะโฮชาดักและพลไพร่ที่เหลืออยู่นั้น
ได้เชื่อฟังพระคำของพระยะโฮวาผู้เป็นพระเจ้าของเขา

“แล้วเศรุบบาเบล บุตรชายเชอัลทิเอลและโยชูวา บุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต พร้อมกับประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย และถ้อยคำของฮักกัยผู้พยากรณ์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายได้ทรงใช้ท่านมา และประชาชนก็เกรงกลัวต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์”                              ฮักกัยบทที่1ข้อ12 และพระเจ้ายังได้ทรงใช้ศาสดาพยากรณ์ฮาฆี หนุนใจชาวอิสราเอลให้เขาเหลานั้นทำงานก่อสร้างพระวิหารด้วยความเข้มแข็ง เพื่อที่การก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าจะสำเร็จขึ้นมาใหม่   พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ เศรุบบาเบลเอ๋ย แม้กระนั้นก็ดี จงกล้าหาญเถิด โอ โยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิตเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า                           ฮักกัยบทที่2ข้อ4 การก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าในวันนี้ต้องมีคนอย่างฮักกัยมาช่วยหนุนใจเตือนใจเราให้เข้มแข็ง เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ก่อสร้างพระวิหารอาณาจักรสรรค์ที่นิรันดร์แก่พระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า เอเมน.











วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ฮักกัยศาสดาพยากรณ์ผู้เผยพระวจนะที่สัตซื่อในก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้า


ฮักกัยเป็นศาสดพยากรณ์พระคำของพระเจ้าที่เกิดอยู่ในสมัยเดียวกับศาสดาพยากรณ์ซะคาระยา

(ผู้เล็กน้อยที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์อาณาจักรของพระเจ้าที่กินผลไม้แห่งชีวิตนิรันดร์ในสวนเอเดน แต่ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินโลกคืออาณาจักรของซาตานที่กินแต่ผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว)


ฮักกัยได้ประกาศพระคำของพระเจ้าเพื่อเตือนสติพลไพร่ของพระองค์ในปีที่2แห่งรัชกาลของกษัตริย์ดาระยาศ

ฮักกัยมีความหมายว่าเทศกาลของเรา
หรือเทศกาลของพระยะโฮวา
กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าฮักกัยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรีบกลับมายังประเทศของตน
เพื่อที่ฮักกัยจะฟื้นฟูประเทศของเขา และทำการฟื้นฟูเทศกาลของพระเจ้าขึ้นมาใหม่
ตรงนี้เราจะเห็นได้ว่าฮักกัยเป็นคนที่มีใจร้อนรนในการกลับมาฟื้นฟูการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าอย่างไม่รีรอ

ฮักกัยมีภาระใจที่จะกระทำการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้า ฮักกัยได้ทำการฟื้นฟูพระวิหารของพระเจ้าเทศกาลต่างๆๆเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวา
ถามว่าเราผู้เป็นพี่น้องคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์มีใจร้อนรนแบบฮักกัยในฟื้นฟูการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าบ้างหรือเปล่า
มีใจร้อนรนในการฟื้นฟูเทศกาลถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าบ้างหรือเปล่า
พี่น้องอาจจะบอกว่าผมมีส่วนอย่างมากด้วยการถวายทรัพย์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคริสตจักรนี่ก็คือการก่อสร้างพระวิหาร และมาประชุมทุกวันอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาดมิได้หยุด ครับเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมขอบคุณพระเจ้า แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ตื้นเขินอย่างมาก

การก่อสร้างพระวิหารแบบฮักกัย การฟื้นฟูเทศกาลของพระเจ้าแบบฮักกัยตรงนี้ ต้องเริ่มที่เราก่อนเพราะร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเจ้า เราต้องไม่ลืมตรงนี้เราต้องฟื้นฟูพระวิหารของพระเจ้าที่ตัวเราก่อน

ฟื้นฟูอย่างไร เริ่มด้วยฟื้นฟูการอ่านกลืนกินย่อยพระคำของพระเจ้าเสียก่อน

ปัจจุบันมีพี่น้องหลายท่านและจำนวนมากเสียด้วยไม่ได้อ่านพระคำของพระเจ้าในชีวิตประจำวันจะอ่านก็ต่อเมื่อมาประชุมเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าห่วงต่อพระวิหารของพระเจ้าจริงๆๆ
ถ้าพระวิหารของพระเจ้าขาดการดูแลหล่อเลียงจากพระคำของพระเจ้าเสียแล้วพระวิหารของพระเจ้าจะเจริญเติบโตถวายเกียรติเป็นสง่าราศรีให้แก่พระเจ้าได้อย่างไร

ไม่อ่านพระคำของพระเจ้าก็มีแต่ทำให้พระวิหารของพระเจ้าเสื่อมโทรมลงแล้วสุดท้ายพระวิหารของพระเจ้าก็พังทลายลง

พระเจ้าที่อาศัยอยู่ในพระวิหารก็ต้องไปหาพระวิหารแห่งใหม่อยู่

ส่วนพระวิหารที่พังทลายลงกลายเป็นวิหารเสื่อมโทรมที่มีแต่อำนาจวิญาณชั่วของมารซาตานมาสิงสถิตแทน
วิหารของพระเจ้าก็เลยกลายเป็นวิหารของซาตาน
อาณาจักรของพระเจ้าวิหารของพระเจ้าได้กลายเป็นอาณาจักรของซาตานวิหารของซานตานไปเสียแล้ว

เราจะเห็นว่าปัจจุบันในวิหารของซาตานอาณาจักรของซาตานจะเต็มไปด้วยรูปเคารพมากมากมาย เช่นรูปเคารพในเงินทอง สิ่งของที่เป็นยากเยื่อทั้งนั้น ชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญก็ด้วยเช่นกันที่มีในวิหารซาตานนี้.
ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเมื่อเราทำงาน เราก็มัวแต่บูชารูปเคารพในการงานเพื่อหวังตำแหน่งหน้าที่บ้านงาน
ทำแต่งานทุ่มเทให้กับงาน ไม่มาประชุมแล้ว ไม่เอาพระเจ้าแล้ว ไม่อ่านพระคำไม่มีใจแสวงหาพระเจ้าอีกเลย

เราจะทุ่มเทกายใจให้รูปเคารพการงานอย่างสุด
หัวใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน เพียงแค่ต้องการตำแหน่งลมๆๆแล้งๆๆ เงินทองบ้านที่ใหญ่โตขึ้นสิ่งเหล่านี้เป็นหยากเยื้อแท้ๆๆ
เมื่อตายไปเราก็เอาไปไม่ได้อยู่ดีใช่ใหม

วันนี้เราต้องกลับใจเสียใหม่หันกลับร้อนรนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในการฟื้นฟูวิหารของพระเจ้าที่ตัวเราเสียก่อน.

การร้อนรนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่สิ่งผิด
เพียงเรามีใจหันกลับดั่งชาวอิสราเอลที่ได้รับการตักเตือนของพระเจ้าผ่านมายังฮักกัยนั่นเอง

ฮกก. 1:2
"พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนเหล่านี้กล่าวว่า เวลานั้นยังไม่มาถึง คือเวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์"


ฮกก. 1:3
แล้วพระวจนะของพระเยโฮวาห์จึงมาถึงโดยทางฮักกัยผู้พยากรณ์ว่า

ฮกก. 1:4
"โอ เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วหรือที่ตัวเจ้าเองอาศัยอยู่ในบ้านที่มีไม้บุ แต่ส่วนพระนิเวศนี้ทิ้งให้พังทลาย

(ฮกก. 1:5 [ThaiKJV])
เพราะฉะนั้น บัดนี้พระเยโฮวาห์จอมโยธาจึงตรัสว่า จงพิจารณาดูว่า เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไร

(ฮกก. 1:6 [ThaiKJV])
เจ้าหว่านมาก แต่เกี่ยวน้อย เจ้ารับประทาน แต่ไม่เคยอิ่ม เจ้าดื่ม แต่ก็ไม่เคยหายอยาก เจ้านุ่งห่ม แต่ก็ไม่มีใครอุ่น ผู้ที่ได้ค่าจ้าง ก็ได้ค่าจ้างมาใส่ถุงที่มีรู

(ฮกก. 1:7 [ThaiKJV])
พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงพิจารณาดูว่า เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไร

(ฮกก. 1:8 [ThaiKJV])
พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปที่เนินเขาและนำไม้มาสร้างพระนิเวศ เราจะมีความพอใจในพระนิเวศนั้น และเราจะได้รับเกียรติ

(ฮกก. 1:9 [ThaiKJV])
เจ้าทั้งหลายหวังได้มาก แต่ดูเถิด ก็ได้น้อย และเมื่อเจ้านำผลมาบ้านของเจ้า เราก็เป่ามันไปเสีย พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า ก็เพราะนิเวศของเราพังทลายอยู่ ฝ่ายเจ้าต่างก็สาละวนอยู่กับเรื่องบ้านของตน

(ฮกก. 1:10 [ThaiKJV])
เพราะฉะนั้น ท้องฟ้าที่อยู่เหนือเจ้าจึงยั้งน้ำค้างไว้เสีย และโลกก็ยึดพืชผลของมันไว้เสีย

(ฮกก. 1:11 [ThaiKJV])
และเราก็เรียกความแห้งแล้งมาสู่แผ่นดินและเนินเขา มาสู่ข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมัน มาสู่สิ่งต่างๆซึ่งดินอำนวยผล สู่มนุษย์และสัตว์ และมาสู่ผลงานทั้งสิ้นซึ่งมือกระทำไว้"

(ฮกก. 1:12 [ThaiKJV])
แล้วเศรุบบาเบล บุตรชายเชอัลทิเอลและโยชูวา บุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต พร้อมกับประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย และถ้อยคำของฮักกัยผู้พยากรณ์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายได้ทรงใช้ท่านมา และประชาชนก็เกรงกลัวต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์

(ฮกก. 1:13 [ThaiKJV])
แล้วฮักกัย ทูตของพระเยโฮวาห์ จึงกล่าวแก่ประชาชนตามกระแสรับสั่งของพระเยโฮวาห์ว่า "พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย"

(ฮกก. 1:14 [ThaiKJV])
และพระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ และทรงเร้าใจของโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต และเร้าใจประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่นั้น เขาทั้งหลายก็มาทำงานในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของเขาทั้งหลาย

(ฮกก. 1:15 [ThaiKJV])
ณ วันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่หก ในปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส

ในฮักกัย บทที่1ข้อ2ถึง15 เราจะเห็นพระเจ้าได้ตรัสผ่านฮาฆีผู้เผยพระคำของพระเจ้าในการฟื้นฟูพระวิหารผ่านผู้เผยพระคำฮาฆี(ฉับบแปลใหม่ใช้ว่าฮักกัย)
เราใช้ของดีๆๆได้สิ่งดีๆๆมาใช้ในชีวิตแต่กลับ
คริสตจักรของพระเจ้าแท้ๆๆไม่เลย ขาดการเหลียวแลดูแลเอาใจใส่โอ้นี่หรือคนที่บอกว่าพระเจ้าข้ารักพระองค์

แต่ในทางปฎิบัติตามความเป็นจริงไม่เลย คริสตจักรขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างมากอย่างสูงสุด
บ่อยครั้งเอาของเหลือๆๆเสียๆๆมาทิ้งคริสตจักรเสียส่วนมาก

โอ้นี่หรือที่บอกข้ารักพระองค์ข้ารักคริสจักร พวกคนน่าซื่อใจคตจริงๆๆ.

วันนี้ตรงนี้เราต้องคุกเข่าลงอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้าขอพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าได้กลับใจเสียใหม่เป็นคนใหม่ในหนทางแห่งการฟื้นฟูพระวิหารของพระองค์
ขอพระองค์ทรงโปรดใช้ข้าพเจ้าให้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูพระวิหารของพระองค์. เอเมน

วันนี้พระเจ้าได้ตรัสผ่านฮาฆีมาถึงเราผู้ได้ชื่อว่าเป็นสาวกวิสุทธิชนคนของพระเจ้าในการฟื้นฟูก่อสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ เราเหลือเวลาไม่มากแล้วที่จะก่อสร้างวิหารของพระเจ้า เราจำต้องทุ่มเทกายจิตวิญญาณของเราทั้งหมดให้แก่พระเจ้าพระบิดาพระเยซูคริสค์ผู้ทรงพระชนย์อยู่เบื้องขวาพระหัตของพระเจ้า

กราบขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนในพระคำฮักกัยบทที่1ในวันนนี้ที่ทรงนำพาให้ข้าพระองค์ถวายพระคำเพื่อเปิดตาใจส่องแสงสว่างให้แก่ตัวข้าพระองค์และพี่น้องทุกท่านที่มีการนำพาในการเข้ามาอ่านพระคำของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจยอมจำนนต่อพระคำของพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ เอเมน.
ขอบทความนี้เป็นบทความเล็กๆๆที่เปิดตาใจแก่ข้าพระองค์ ส่องสว่างให้เห็นหนทางอันนิรันดร์ของพระเจ้าเอเมน.










วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูคริสค์ 2

 

มาระโกบทที่16

 

16:15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
16:16 ผู้ที่เชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา
16:17 มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่หลายภาษา
16:18 เขาจะจับงูได้ ถ้าเขาดื่มยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู (
ลก 24:50-53; กจ 1:6-11)
16:19 ครั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
16:20 พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขา และทรงสนับสนุนคำสอนของเขาโดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น เอเมน

 

เมื่อพระเยซูสั่งสอนให้เราออกไปประกาศกิตติคุณ เราก็ต้องออกไปเพราะเราเป็นสาวกของพระองค์เป็นผู้เชื่อในพระคำของพระองค์

เชื่อมั่นต่อพระเยซูคริสค์เจ้าอย่างสุดจิตสุดหัวใจ

 

เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้วเราก็ต้องสำแดงความเชื่อของเราออกไปด้วยการแสดงออกอย่างแท้จริง

 

การแสดงออกของเราด้วยการออกไปประกาศเรื่องของพระเยซูให้คนมากมายที่

ไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รู้เรื่องพระเยซูคริสค์

ที่สำคัญเราต้องออกไป เราต้องทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ในมาระโก

 

พระเจ้าใช้เราพระเจ้าสอนสั่งเราก่อนไปสวรรค์ เราก็ต้องทำเพราะพระคำเป็นพระเจ้า

เราต้องนำพระคำของพระเจ้าไปบอกม

เริ่มที่บ้านเราก่อน เริ่มที่ครอบครัวเราก่อน

เริ่มที่ชุมชนที่เราอาศัยอยู่ก่อน

แล้วก็แผ่ขยายออกไปตามตำบล เขต อำเภอ

แขวง จังหวัด สูงสุดคือต่างประเทศขยายขอบเขตแห่งกิตติคุณ ยิ่งปัจจุบันมีสื่อมากมายไม่ว่าจะเป็นสื่ออินเตอร์เนต สื่อวิทยุ

สื่อสิ่งพิมพ์

ขอบคุณพระเจ้า เราจำต้องออกมาใช้ความเชื่อของเรา เป็นพยานเรื่องราวของพระเจ้า

เมื่อมีผู้เชื่อเราต้องรีบให้เค้ารับบัพติสมาทันทีอย่ารอช้า เพราะนี่คือการที่เค้าได้กลับใจใหม่รับเชื่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์แบบ.

 

การบัพติสมาเป็นคนใหม่ในพระคริสค์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างสูงสุด และเป็นความรอดที่สมบูรณ์ในการรับเชื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง

การรับความ การรับความรอดเข้าสู่ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสค์ ไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสค์ และไม่เพียงเป็นการได้รับพระราชทานอภัยความบาปแต่ได้รับการบังเกิดมีสภาพชีวิตใหม่ใหม่ในพระเจ้า ได้กลายสภาพชีวิตเป็นบุตรของพระเจ้า และกลายเป็นอวัยวะของพระของพระคริสต์

 

การรับบัพติสมาในความรอดเข้าสู่ชีวิตใหม่เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เป็นการยืนยันว่าเราได้ฝังชีวิตเก่าที่ตกต่ำของเรา

โดยอาศัยพระคุณขององค์พระคริสต์ทรงตรึงความบาปของเราไว้บนกางเขนแล้ว บัดนี้เราจึงได้รับพระเมตตาคุณความรอดจากพระบุตรของพระองค์

 

การรับเชื่อ และได้รับความรอด นั้นเป็นสองส่วน คือเราต้องเชื่อก่อนจากนั้นเมื่อเราได้รับบัตติสมาแล้วเราถึงได้รับความรอด

 

ดังนั้นการให้รับบัพติสมาทั้งที่ยังไม่ได้เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ก็หมายถึงความไม่สมบูรณ์ในความรอดนั่นเอง

 

ฉะนั้นเราต้องให้ผู้รับความรอดได้รับความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจก่อน ความรอดของเค้าถึงจะสมบูรณ์

 

อย่าให้การเชื่อ และการรับความรอดมาเป็นเพียงม่นประเพณีที่สืบๆๆต่อกันมาทำตามกันมาอย่างที่ชาวโลกกระทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้เลย

 

โอ้ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงโปรดพระราชทานความเชื่อมั่นให้แก่ข้าพระองค์ในการออกไป แสวงหาบอกข่าวประเสรฺฐแก่บรรดาประชากรที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้แล้วก่อนวางรากสร้างโลก

 

นี่เป็นขอสังเกตุเรื่องการพูดภาษาใหม่ๆๆในข้อ17ของมาระโกบทที่16 ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีของประทานความสามารถที่พิเศษนี้ไม่เลย

แต่ผู้ได้รับความรอดจะมีหมายสำคัญในบางประการ แต่ไม่ใช่ต้องมีหมายสำคัญในภาษาใหม่ๆๆ (ในที่นี้ไม่ใช่ภาษาฑูตสวรรค์ตามที่บางคนเข้าใจผิด แต่หมายถึงภาษาต่างๆๆของแต่ละประเทศ เช่น การพูดภาษาอังกฤษได้ทั้งที่ไม่เคยเรียนมาก่อนไม่เคยฟังมาก่อน

แต่พระเจ้าพระราชอำนาจให้เรามีหมายสำคัญในการพูดภาษาอังกฤษ์เป็นต้น)

 

หมายสำคัญทุกคนที่ได้รับความรอดสามารถมีได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าได้มีหมายสำคัญของประได้การอัศจรรย์ในทุกเรื่องไม่ใช่เช่นนั้น

 

การมีหมายสำคัญต้องมีชีวิตความเชื่อที่บริสุทธิ์ขั้นสูงสุด มีความเชื่อที่สะอาดปราศจากมลทิน เอเมน

 

แต่ขอย้ำว่าเรื่องหมายสำคัญไม่ใช่เรื่องสำคัญในคำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูเสียทั้งหมด

โปรดอย่าใช้เรื่องหมายสำคัญไปตอกย้ำ

เพราะถ้าผู้เชื่อที่ได้รับความรอดยังเป็นเด็กทารก ยังอ่อนในความเชื่อแห่งองค์พระเยซูเจ้า เค้าเหล่านี้อาจเข้าใจผิด และสุดท้ายให้ความสำคัญเรื่องหมายสำคัญการอัศจรรย์มากกว่าพระคำและพระเยซูคริสเจ้าเสียอีก

จนทำให้สอนเทียมเท็จผิดเพี้ยนไปจากพระคำของพระเจ้าในพระคำภีร์ทั้งเล่ม

เราจำต้องเชื่อมั่นพระคำของพระเจ้าทั้งเล่ม

ทุกคำทุกข้อความทุกตัวอักษรไม่ใช่ย้ำตอกย้ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ

 

โปรดอย่าเอาเรื่องหมายสำคัญการอัศจรรย์ของพระเจ้าไปเน้นในการประกาศกิตติคุณไม่เช่นนั้นเราก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสค์เจ้า ที่เค้าใช้เรื่องการอัศจรรย์ในการสอนสั่งสาวกของเขาด้วยเช่นกัน

 

การเสด็จกลับสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสค์พระบุตรของพระเจ้า เป็นการตอกย้ำเราว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่เป็นพระเจ้าที่ไม่ตาย พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงถูกยกชูให้นั่งในบัลลังค์สวรรค์เบื้องขวาพระหัตของพระเจ้านี่เป็นพระสง่าราศรีที่สูงส่งยิ่งหนักขององค์พระเจ้าองค์พระผู้ทาสผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย เป็นเครื่องหมายให้เราเห็นถึงทุกสิ่งที่พระองค์ได้กระทำทุกสิ่งที่พระบิดาในสวรรค์ได้โปรดปราณ เพื่อให้สำเร็จแผนการบริหารที่นิรันดร์แห่งอาณาจักรสวรรค์

นี่ช่างเป็นความสุขสง่าราศรีที่ล้ำลึกยิ่งหนัก

ในการยกชูพระบุตรของพระองค์ พระบิดาเจ้าได้สวมมงกุฎแห่งพระสง่าราศรีและพระราชทานเกรียติยศที่สูงส่งให้แก่พระบุตรของพระองค์คือองค์พระเยซูคริสค์

 

ในเบื้องขวาบัลลังค์แห่งพระหัตถ์ของพระเจ้า

พระบิดาได้พระราชทานพระนามอันยิ่งใหญ่

เหนือนามทั้งปวงให้แก่พระบุตรของพระองค์ทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลก

 

องค์พระบิดาได้พระราชทานให้พระบุตรของพระองค์เป็นเจ้าของทุกสิ่งสารพัดในโลกนี้และแผ่นดินสวรรค์ มีอำนาจสิทธิปกครองโลกฟ้าแผ่นดินสวรรค์

 

เราผู้เป็นวิสุทธิชนในวันนี้ต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการเผยแพร่กิตติคุณอันประเสริฐกิตติแห่งชีวิตที่นิรันดร์นี้ให้แก่ชนทุกชาติทุกภาษาทุกเผ่าพันธ์ไปจนสุดปลายแผ่นดินนี้

 

การประกาศกิติคุณแก่บรรดาสิ่งทรงสร้างเก่าที่ตกต่ำลงไปตั้งแต่สมัยอาดามเอวา ให้หันกลับมาสู้หนทางของพระองค์กลายเป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ในพระองค์เป็นภารหน้าที่ของเราที่ต้องสู้รบอย่างหนักหน่วง เราต้องนำพาพลไพร่ที่หลงหายของพระองค์กลับมาสู่แผ่นดินคะนาอันของพระองค์

 

ภาระของเราในวันนี้คือการเคลื่อนพลไพร่ที่หลงหายของพระเจ้าจากแผ่นดินอาณาจักรของซาตาน กลับคืนมาสู้อาณาจักรของพระเจ้าคือแผ่นดินสวรรค์ คือสวนเอเดนที่เต็มไปด้วยผลไม้แห่งชีวิตที่นิรันดร์

 

สรรเสริญขอบคุณพระเจ้าพระบิดา พระบุตร

พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ได้มอบหมายให้ข้าพระองค์ วิสุทธิ์ชนทั้งหลายเป็นนักรบแห่งกิตติคุณในพระคริสค์ เอมน.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 2

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ตอนที่1

 มัดธายบทที่28
ข้อ18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
 
19 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน"

ขอบคุณพระเจ้าวันนี้เมื่อเราทั้งหลายพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสค์เจ้า
ได้รับมอบอำนาจจากพระเจ้าอย่างชอบธรรม
ในการออกไปประกาศข่าวดีข่าวประเสริฐ นำคนที่หลงหายกลับมาพบกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ เป็นพระเจ้าที่มีแต่พระเมตตา
วันนี้เรามีพระเจ้าร่วมทำงานกับเราในการออกไปประกาศกิตติคุณเรายิ่งมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ.

พระเยซูทรงเป็นบุตรองค์เดียวของพระเจ้าจึงมีอำนาจที่ชอบธรรมที่จะปกครองสรรพสิ่งทั้งมวลในโลกนี้.
และการที่พระเยซูมาบังเกิดในสภาพมนุษย์
พระเยซูจึงเป็นทั้งบุตรมนุษย์ และเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ด้วยเช่นกัน

พระเยซูได้ทรงใช้เหล่าอัครสาวก รวมถึงถึงสาวกอย่าเราทั้งหลายผู้เป็นพี่น้องในพระเยซูคริสค์เจ้า ออกไปสั่งสอนสร้างสาวกแก่ชนทุกชาติทุกภาษา ด้วยการทรงนำด้วยพระวิญญาณ
และสิทธิอำนาจที่พระเยซูมอบให้แก่อัครสาวกและสาวกในองค์พระเยซูคริสค์ วันนี้เราจึงมีภาระหน้าที่ ที่จะต้องออกไปประกาศกิตติคุณทุกหนทุกแห่งทั่วโลกให้ชนทุกชาติภาษาได้หันกลับมาหาองค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนย์อยู่.

การออกไปประกาศกิตติคุณแก่ชนทุกชาติทำให้เราได้พลไพร่ของพระองค์ทุกชาติทุกภาษา
นับว่าเป็นภาระหน้าที่ ที่ยิ่งใหญ่มากแก่เหล่าอัครสาวกและสาวกของพระคริสค์

การได้สาวกทุกชาติทุกภาษา ทำให้เกิดการก่อตั้งอาณาจักรของพระเยซูคริสค์ นั่นก็คือคริสตจักรบนแผ่นดินโลกในวันนี้นั่นเอง.

การนำผู้เชื่อใหม่ให้ได้รับความรอดด้วยการรับบัพติสมา เป็นการนำผู้ที่เชื่อใหม่ที่กลับใจใหม่
ให้หลุดพ้นจากสภาพการณ์ที่ตกต่ำของชีวิตของเค้าในความมืดเข้าสู่หนทางแห่งความสว่าง
หลุดพ้นจากอาณาจักรของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า.

การให้รับบัตติสมาด้วยการจุ่มตัวลงไปในน้ำแล้วขึ้นมาจึงหมายถึงการตายและสิ้นสุดชีวิตเก่าของเขาทำให้ได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสค์ และบังเกิดเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสค์กลายเป็นพลไพร่แห่งอาณาจักรของพระเจ้าโดยสมบูรณ์แบบ.

การให้บัพติสมาด้วยน้ำให้แก่ผู้เชื่อที่กลับใจใหม่นั้นยังเล็งถึงการได้เป็นสาวกของพระองค์และกลายเป็นผู้เข้าสู่ในพระเจ้าตรีเอกภาพนั่นเอง.

หลังจากที่พระเยซูได้รับบัพติสมาด้วยน้ำแล้ว
ต่อมาในวันเพ็นเทคอส พระองค์ได้ให้เหล่าสาวกของพระองค์ทั้งคริสตจักรได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่บ้านของโกระเนเลียว
(กจ.11:15-17)

วันนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนประกาศกิตติคุณที่ไหน ร่วมประชุมกันตามบ้านในนามของพระเยซูคริสค์พระเจ้าก็สถิตอยู่ท่ามกลางพี่น้องทุกท่านนั่นเอง.

ข่าวประเสริฐตรงนี้หากเราสังเกตุและพิจารณาดีๆๆอย่างละเอียดรอบครอบ หมายถึงผู้เชื่อแล้วด้วย
ผู้เชื่อมากมายเป็นลูกแก่ะที่หลงหายต้องได้รับการฟื้นฟูกลับมาสู่การดำเนินชีวิตคริสตจักรที่ปกติ
ขอบพระเมตตาจากพระเจ้านำทางในการฟื้นฟูเพื่อมีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระเจ้า.

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่าพระเจ้าได้ให้เราทำการประกาศกิตติคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยการทรงนำของพระเจ้าและพระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางเหล่าวิสุทธิชนที่ออกไปประกาศกิตติคุณนั่นเอง เอเมน.




สภาพการณ์คริสตจักรจากนิมิตรแห่งวิวรณ์

สภาพการณ์ของคริสจักรทั้งเจ็ดในแต่ช่วงเพื่อให้เราได้เห็นการเปิดเผยอย่างแท้จริงสำหรับการดำเนินชีวิตมีทั้งคริสจักรที่ตกต่ำและคริสจักรที่ได้รับการฟื้นฟูจากดวงดาวเหล่าวิสุทธิชนที่ส่องสว่าง
ดังนั้นคริสจักรทั้งเจ็ดเป็นหมายสำคัญที่ได้ทำนายถึงความก้าวหน้าและตกต่ำของคริสจักรทั้งเจ็ดในแต่ละช่วง
คริสตจักรทั้งเจ็ดยังเป็นภาพประกอบอันดีเลิศที่เปิดเผยถึงคริสจักรท้องถิ่น. มิใช่ในด้านหลักธรรม
แต่ในด้านปฎิบัติจริงๆๆ. โดยการพิจารดูจากคริสจักรทั้งเจ็ดนี้
คริสจักรทั้งเจ็ดเป็นการพยากรณ์ถึงความก้าวหน้าสภาพการของคริสตจักรท้องถิ่นในแต่ละช่วงเวลา
คริสตจักรเอเฟโซเป็นคริสจักรในขั้นตอนสุดท้ายของขั้นแรกอยู่ในระหว่างช่วงปลายศตวรรษที่๑
เป็นยุคที่ละทิ้งความรักดั่งเดิมเริ่มอ่อนแอการตกต่ำของการดำเนินชีวิตคริสตจักรเยือกเย็นไม่ร้อนรนในการแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า


คริสตจักรในเมืองซะมุระนา แบบเล็งสำแดงถึงคริสตจักรที่ต้องทนทุกข์ภายใต้การข่มแหงของจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่หนึ่งจนถึงปลายศตวรรษที่สี่ตอนต้น คือเมื่อจักรพรรดิ
คอนสแตนตินมหาราชผูเป็นกษัตริย์ซีซาของจักรวรรดิโรมันได้ยอมรับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ
คริสตจักรในเมืองเประฆาโม เล็งถึงคริสตจักรที่อยู่ฝ่ายโลกคือคริสตจักรที่แต่งงานกับโลกอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่จักรวรรดิคอนสแตนตินยอมรับศาสนาคริสเป็นศาสนาประจำชาติจนถึงเวลาที่ระบบสันตะปาปาได้ถูกตั้งขึ้นในช่วงหลังของศตวรรษที่หก


คริสตจักรในเมืองธุอาไตระคริสตจักรที่ประพฤติผิดจากหลักคำสอนอันแท้จริง. ตั้งแต่มีการจัดลำดับสมณศักดิ์ของระบบสันตะปาปาในช่วงหลังศตวรรษที่หกจนถึงยุคสุดปลายนี้กระทั่งพระคริสตเสด็จมา
คริสตจักรในเมืองซัรได เป็นการสำแดงถึงนิกายโปรเตสแตนท์ตั้งแต่ยุคปฎิรูปศาสนาในตอนต้นศตวรรษที่หกสิบจนถึงวันเสด็จกลับมาของพระคริสต์
คริสตจักรในมเืองฟึละเด็ลไฟอ่ะเป็นภาพเล็งถึงคริสจักรที่รักกันฉันพี่น้องมีการฟื้นฟูชีวิตคริสจักรอันถูกต้อง. ตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่สิบเก้า
พี่น้องทั้งหลาบในอังกฤษได้ฟื้นฟูชีวิตคริสตจักร
หลุดพ้นจากคณะนิกายและบบแบ่งแยกทั้งมวลไปจนถึงช่วงเวลาแห่งการปรากฎครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้า
คริสตจักรในเมืองละโอดีไกอ่ะเป็นเงาสะท้อนพี่น้องทั้งปวงที่มีชีวิตที่ตกต่ำลงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า
จนถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา


ยุคปัจจุบันนี้คือ ที่มืดแห่งราตรีกาล (รม13:12) และมนุษย์โลกทุกคน ล้วนเคลื่อนไหวและกระทำการ อยู่ในความมืด

ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์ ซึ่งเปรียบเหมือนตะเกียง ที่ส่องแสงแก่ผู้เชื่อนั้น ได้ถ่ายทอดแสงสว่างฝ่ายวิญญาณ ที่ฉายส่องอยู่ใน ความมืดของพวกเขา
(ไม่เพียงแต่เป็นความรู้ ที่เป็นตัวอักษร ซึ่งเข้าใจได้ในความคิดเท่านั้น)
เราต้องเป็นเหมือนตะเกรียงที่สว่างไสวในหนทางและฐานที่ถูกต้อง
พระคำสำหรับเรามีสองชนิด
คือพระคำยามปกติ การอ่านท่องจำ การสะสม


พระคำยามฉับพันที่ผุดขึ้นมาทันทีในยามที่เราต้องการ สำหรับหนุ่นใจตัวเองและหล่อเลี้ยงพี่น้อง


ดวงดาวที่ส่องแสงเล็งถึงฑูตของคริสตจักรได้แกบุคลฝ่ายวิญญาณผู้แบกภาระความรับผิดชอบในการเป็นพยานขององค์พระเยซู ได้ถูกถือไว้ในหัตเบื้องขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเราทำหน้าที่เป็นพยานของพระคริสตเราคือฑูตที่ส่องสว่างแก่คนที่ไม่เชื่อและผู้ที่เชื่อ

คันประทีปทองคำทั้งเจ็ตเล็งถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงดำเนินอยู่ในท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายเพื่อดูแลรักษาเราทั้งหลาย
ในการดำเนินชีวิตแห่งความื่อพระเจ้าจะอยู่กับเรา.

การอธิษฐาน​ด้วยความเชื่​ออย่างสุดจิ​ตสุดใจ

(ดนล. 6:1 [THSV])
ดา​ริ​อัส​พอ​พระ​ทัย​แต่ง​ตั้ง​อุป​ราช 120 คน เพื่อ​ให้​ปก​ครอง​ทั่ว​ราช​อา​ณา​จักร

(ดนล. 6:2 [THSV])
และ​ทรง​ตั้ง​อภิ​รัฐ​มน​ตรี 3 คน​อยู่​เหนือ​พวก​อุป​ราช ดา​เนียล​เป็น​อภิ​รัฐ​มน​ตรี​คน​หนึ่ง ซึ่ง​จะ​รับ​ราย​งาน​จาก​อุป​ราช เพื่อ​กษัตริย์​จะ​ไม่​ขาด​ประ​โยชน์

(ดนล. 6:3 [THSV])
แล้ว​ดา​เนียล​คน​นี้​ก็​มี​ชื่อ​เสียง​กว่า​อภิ​รัฐ​มน​ตรี​อื่นๆ และ​อุป​ราช​ทั้ง​หลาย เพราะ​วิญ​ญาณ​เลิศ​สถิต​กับ​ท่าน และ​กษัตริย์​ทรง​มี​แผน​จะ​แต่ง​ตั้ง​ท่าน​ให้​ครอบ​ครอง​ราช​อา​ณา​จักร​นั้น​ทั้ง​หมด

(ดนล. 6:4 [THSV])
อภิ​รัฐ​มน​ตรี​และ​อุป​ราช​ทั้ง​หลาย​จึง​หา​เหตุ​ฟ้อง​ดา​เนียล​ใน​เรื่อง​ราช​อา​ณา​จักร แต่​ก็​หา​ความ​ผิด​ไม่​ได้ เพราะ​ท่าน​เป็น​คน​ซื่อ​สัตย์ จะ​หา​ความ​พลั้ง​พลาด​หรือ​การ​ทุจริต​ใน​ท่าน​ไม่​ได้​เลย

(ดนล. 6:5 [THSV])
คน​เหล่า​นี้​จึง​พูด​กัน​ว่า “ไม่​มี​ทาง​หา​เหตุ​ฟ้อง​ดา​เนียล​ได้ นอก​จาก​เรา​จะ​หา​เหตุ​ใน​เรื่อง​ธรรม​บัญ​ญัติ​แห่ง​พระ​เจ้า​ของ​เขา”

(ดนล. 6:6 [THSV])
แล้ว​อภิ​รัฐ​มน​ตรี​และ​อุป​ราช​เหล่า​นี้​ได้​พา​กัน​เข้า​เฝ้า​พระ​ราชา​ทูล​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ราชา​ดา​ริ​อัส ขอ​ทรง​พระ​เจริญ​เป็น​นิตย์

(ดนล. 6:7 [THSV])
อภิ​รัฐ​มน​ตรี​ทุก​ท่าน​แห่ง​ราช​อา​ณา​จักร ทั้ง​องค​มน​ตรี อุป​ราช และ​ผู้​ว่า​ราช​การ​มณ​ฑล​ทั้ง​สิ้น​ได้​ตก​ลง​กัน​ว่า พระ​ราชา​ควร​จะ​ตรา​กฎ​หมาย​และ​ออก​คำ​ประ​กาศ​ว่า ใน​สาม​สิบ​วัน​นี้ ถ้า​มี​ใคร​ทูล​ขอ​ต่อ​พระ​หรือ​มนุษย์​นอก​เหนือ​จาก​พระ​องค์ ข้า​แต่​พระ​ราชา ก็​ให้​โยน​คน​นั้น​ลง​ใน​ถ้ำ​สิง​โต

(ดนล. 6:8 [THSV])
ข้า​แต่​พระ​ราชา บัด​นี้ ขอ​ฝ่า​พระ​บาท​ทรง​ตรา​คำ​ประ​กาศและ​ลง​พระ​นาม​ใน​หนัง​สือ​สำ​คัญ เพื่อ​จะ​เปลี่ยน​แปลง​ไม่​ได้ ตาม​กฎ​หมาย​ของ​คน​มี​เดีย​และ​คน​เปอร์​เซีย ซึ่ง​จะ​แก้​ไข​ไม่​ได้​เป็น​อัน​ขาด”

(ดนล. 6:9 [THSV])
เพราะ​ฉะนั้น กษัตริย์​ดา​ริ​อัส​จึง​ลง​พระ​นาม​ใน​หนัง​สือ​สำ​คัญ​และ​ใน​ประ​กาศ

(ดนล. 6:10 [THSV])
เมื่อ​ดา​เนียล​ทราบ​ว่า​กษัตริย์​ลง​พระ​นาม​ใน​หนัง​สือ​สำ​คัญ​นั้น​แล้ว ท่าน​ก็​กลับ​บ้าน ซึ่ง​มี​หน้า​ต่าง​ห้อง​ชั้น​บน​เปิด​ตรง​ไป​ยัง​กรุง​เย​รู​ซา​เล็ม และ​ท่าน​ก็​คุก​เข่า​ลง​วัน​ละ 3 ครั้ง อธิษ​ฐาน​และ​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​อย่าง​ที่​เคย​ทำ​เสมอ

(ดนล. 6:11 [THSV])
เมื่อ​พวก​ที่​สม​รู้​ร่วม​คิด​พา​กัน​มา​พบ​ดา​เนียล​กำ​ลัง​อธิษ​ฐาน​และ​วิง​วอน​ต่อ​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน

(ดนล. 6:12 [THSV])
เขา​ทั้ง​หลาย​ก็​ไป​เข้า​เฝ้า และ​ทูล​กษัตริย์​เกี่ยว​กับ​ประ​กาศ​ห้าม​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ราชา ฝ่า​พระ​บาท​ได้​ลง​พระ​นาม​ใน​หนัง​สือ​สำ​คัญ​ฉบับ​หนึ่ง​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า ถ้า​มี​ใคร​ทูล​ขอ​ต่อ​พระ​หรือ​มนุษย์​นอก​เหนือ​จาก​พระ​องค์ ใน​สาม​สิบ​วัน​นี้ ข้า​แต่​พระ​ราชา ก็​ให้​โยน​คน​นั้น​ลง​ใน​ถ้ำ​สิงโต?” กษัตริย์​ตรัส​ตอบ​ว่า “เรื่อง​นั้น​ยัง​คง​อยู่ ตาม​กฎ​หมาย​ของ​คน​มี​เดีย​และ​คน​เปอร์​เซีย ซึ่ง​จะ​แก้​ไข​ไม่​ได้​เป็น​อัน​ขาด”

(ดนล. 6:13 [THSV])
แล้ว​เขา​จึง​ทูล​ต่อ​กษัตริย์​ว่า “ดา​เนียล​ผู้​เป็น​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​ที่​ถูก​กวาด​เป็น​เชลย​จาก​ยู​ดาห์ ไม่​ได้​เชื่อ​ฟัง​ฝ่า​พระ​บาท ข้า​แต่​พระ​ราชา และ​ไม่​เชื่อ​ฟัง​คำ​ประ​กาศ​ใน​หนัง​สือ​สำ​คัญ​ซึ่ง​ฝ่า​พระ​บาท​ลง​พระ​นาม​ไว้ แต่​ได้​ทูล​ขอ​ต่อ​พระ​ของ​เขา​วัน​ละ 3 ครั้ง”

(ดนล. 6:14 [THSV])
เมื่อ​กษัตริย์​ทรง​สดับ​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​แล้ว ก็​ทรง​โทม​นัส​ยิ่ง​นัก และ​ตั้ง​พระ​ทัย​หา​ทาง​ช่วย​กู้​ดา​เนียล ทรง​พยา​ยาม​หา​ทาง​ช่วย​จน​ถึง​เวลา​ดวง​อา​ทิตย์​ตก

(ดนล. 6:15 [THSV])
แล้ว​คน​เหล่า​นั้น​ที่​สม​รู้​ร่วม​คิด​กัน​ก็​พา​กัน​มา​เข้า​เฝ้า​กษัตริย์​และ​ทูล​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ราชา ขอ​ฝ่า​พระ​บาท​ทรง​ทราบ​ว่า​กฎ​หมาย​ของ​คน​มี​เดีย​และ​คน​เปอร์​เซีย​ที่​ประ​กาศ​ห้าม​ก็​ดี หรือ กฎ​หมาย​ก็​ดี ซึ่ง​พระ​ราชา​ทรง​ประ​ทับ​ตรา​แล้ว​ย่อม​เปลี่ยน​แปลง​ไม่​ได้”

(ดนล. 6:16 [THSV])
แล้ว​กษัตริย์​ทรง​บัญ​ชา ดา​เนียล​ก็​ถูก​โยน​ใน​ถ้ำ​สิง​โต กษัตริย์​ตรัส​แก่​ดา​เนียล​ว่า “ขอ​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ผู้​ที่​ท่าน​ปรน​นิบัติ​อยู่​ตลอด​มา​นั้น ทรง​ช่วย​กู้​ท่าน​เถิด”

(ดนล. 6:17 [THSV])
แล้ว​เขา​นำ​ศิลา​ก้อน​หนึ่ง​มา​ปิด​ปาก​ถ้ำ​ไว้ กษัตริย์​ก็​ทรง​ประ​ทับ​ตรา​ของ​พระ​องค์ และ​ตรา​ของ​บรร​ดา​ข้า​ราช​การ​ชั้น​ผู้ใหญ่​ของ​พระ​องค์ เพื่อ​ว่า​จะ​ไม่​มี​ใคร​มา​เปลี่ยน​แปลง​สถาน​การณ์​ของ​ดา​เนียล​ได้

(ดนล. 6:18 [THSV])
แล้ว​กษัตริย์​ก็​เสด็จ​กลับ​พระ​ราช​วัง ทรง​อด​อาหาร​ตลอด​คืน​นั้น ไม่​ให้​นำ​สิ่ง​บัน​เทิง​มา​ถวาย​พระ​องค์ และ​บรร​ทม​ไม่​หลับ

(ดนล. 6:19 [THSV])
พอ​เช้า​ตรู่ กษัตริย์​ก็​ตื่น​บรร​ทม รีบ​เสด็จ​ไป​ยัง​ถ้ำ​สิง​โต

(ดนล. 6:20 [THSV])
เมื่อ​พระ​องค์​เสด็จ​มา​ใกล้​ถ้ำ​ที่​ดา​เนียล​อยู่ พระ​องค์​ก็​ตรัส​เรียก​ดา​เนียล​ด้วย​เสียง​โทม​นัส​ว่า “โอ ดา​เนียล​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่ พระ​เจ้า​ของ​ท่าน​ซึ่ง​ท่าน​ปรน​นิบัติ​อยู่​เนือง​นิตย์​นั้น ทรง​สา​มารถ​ช่วย​กู้​ท่าน​จาก​สิง​โต​ได้​แล้ว​หรือ?”

(ดนล. 6:21 [THSV])
แล้ว​ดา​เนียล​ทูล​กษัตริย์​ว่า “ข้า​แต่​พระ​ราชา ขอ​ทรง​พระ​เจริญ​เป็น​นิตย์

(ดนล. 6:22 [THSV])
พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​บาท​ทรง​ใช้​ทูต​สวรรค์​มา​ปิด​ปาก​สิง​โต​ไว้ มัน​ไม่​ได้​ทำ​อัน​ตราย​แก่​ข้า​พระ​บาท เพราะ​พระ​องค์​ทรง​เห็น​ว่า ข้า​พระ​บาท​ไร้​ความ​ผิด​ต่อ​พระ​พักตร์​พระ​องค์ ข้า​แต่​พระ​ราชา ข้า​พระ​บาท​ไม่​ได้​ทำ​ผิด​ประ​การ​ใด​ต่อ​พระ​พักตร์​ฝ่า​พระ​บาท​ด้วย”

(ดนล. 6:23 [THSV])
ฝ่าย​พระ​ราชา​ก็​ทรง​โสม​นัส​ยิ่ง​นัก และ​ทรง​บัญ​ชา​ให้​นำ​ดา​เนียล​ออก​มา​จาก​ถ้ำ เขา​จึง​เอา​ดา​เนียล​ออก​จาก​ถ้ำ ไม่​ปรา​กฏ​ว่า​มี​อัน​ตราย​อย่าง​ใด​ที่​ตัว​ท่าน​เลย เพราะ​ท่าน​ได้​วาง​ใจ​ใน​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน

(ดนล. 6:24 [THSV])
แล้ว​กษัตริย์​ทรง​บัญ​ชา​ให้​นำ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ใส่​ร้าย​ดา​เนียล​มา​โยน​ทิ้ง​ใน​ถ้ำ​สิง​โต ทั้ง​ตัว​เขา บุตร​ทั้ง​หลาย และ​ภรร​ยา​ของ​พวก​เขา​ด้วย ยัง​ไม่​ทัน​ตก​ไป​ถึง​พื้น​ถ้ำ พวก​สิง​โต​ก็​ขย้ำ​พวก​เขา และ​หัก​กระ​ดูก​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย​จน​แหลก

(ดนล. 6:25 [THSV])
แล้ว​กษัตริย์​ดา​ริ​อัส​มี​พระ​ราช​สาสน์​ไป​ถึง​ชน​ทุก​ชาติ​ทุก​เผ่า​ทุก​ภา​ษา​ที่​อา​ศัย​อยู่​ใน​พิภพ​ทั้ง​สิ้น​ว่า “สันติ​สุข​จง​มี​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​อย่าง​ทวี​คูณ

(ดนล. 6:26 [THSV])
เรา​ออก​กฤษ​ฎีกา​ว่า ให้​คน​ทั้ง​หลายใน​ราช​อา​ณา​จักร​ทั้ง​หมด​ของ​เรา​กลัว​และ​ยำ​เกรง​พระ​เจ้า​ของ​ดา​เนียล เพราะ​พระ​องค์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่ ทรง​ดำ​รง​อยู่​เป็น​นิตย์ ราช​อา​ณา​จักร​ของ​พระ​องค์​จะ​ไม่​ถูก​ทำ​ลาย และ​การ​ปก​ครอง​ของ​พระ​องค์​จะ​ดำ​รง​จน​ถึง​ที่​สุด

(ดนล. 6:27 [THSV])
พระ​องค์​ทรง​ช่วย​กู้​และ​ช่วย​ให้​พ้น​ภัย พระ​องค์​ทรง​ทำ​หมาย​สำ​คัญ​และ​การ​อัศ​จรรย์ ใน​ฟ้า​สวรรค์​และ​บน​พื้น​พิภพ พระ​องค์​คือ​พระ​ผู้​ช่วย​ดา​เนียล​ให้​รอด จาก​อำ​นาจ​ของ​สิง​โต”

(ดนล. 6:28 [THSV])
ดัง​นั้น ดา​เนียล​ผู้​นี้​จึง​ได้​เจริญ​ก้าว​หน้า​ใน​รัช​สมัย​ของ​ดา​ริ​อัส และ​ใน​รัช​สมัย​ของ​ไซ​รัส​ชาว​เปอร์​เซีย

พระเจ้าทรงสำเร็จ แผนการบริหารของพระองค์ บนแผ่นดินโลก ผ่านช่องทางแห่งการอธิษฐาน ที่สัตย์ซื่อของพระองค์
กลยุทธของซาตาน คือการมาทำลายการอธิษฐาน ที่มีเพื่อการเคลื่อนไหวของพระเจ้า.
ในดานิเอลบทที่6ดานิเอลกับเหล่าสหายมีชัยชนะต่อเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน
ในตอนนี้เราจะเห็นว่ามีการทดสอบความเชื่อของดานิเอลและเหล่าสหาย ดานิเอลอธิษฐานด้วยการคุกเข่าวันสามครั้งเปิดหน้าต่างมุ่งตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยไม่กลัวต่อบทลงโทษที่จะเจอ
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับดานิเอลนี้ที่เป็นตัวอย่างในการวางรากฐานแบบอย่างการอธิษฐานด้วยความเชื่อ
การอธิษฐานวันละสามครั้งด้วยการคุกเข่าอดอาหารอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า
ทำให้พระเจ้าตอบสนองคำอธิษฐานแก่ดานิเอล
แม้ว่าจะเจอการขัดขวางสารพัดอย่างขนาดถึงขั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพันแต่ดานิเอลก็ไม่ย่อท้อเลยเชียว
พระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งตอบรับการอธิษฐานต่อดานิเอล
วันนี้ในท่ามกลางสภาพชีวิตคริสตจักรที่ตกต่ำทุกวันนี้
เราจะเห็นเพียงการอธิษฐานตามประเพณีเท่านั้น
การอธิษฐานแบบรูปเคารพเสียส่วนใหญ่
การอธิษฐานขอโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด

การอธิษฐานเช่นนี้มักจะไม่เกิดผลดีต่อชีวิตที่บริสุทธิ์
และไม่ใช่เป็นการอธิษฐานต่อพระเจ้าที่ออกมาจากจิตวิญญาณ
อีกด้วย.
ตัวอย่างแห่งการอธิษฐานของดานิเอลเป็นการเตือนสติ
ข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ตอกย้ำให้อธิษฐานด้วยความเชื่อมั่นต่อพระเจ้าอย่างแรงกล้า
วิสุทธิ์ชนในวันนี้ต้องเอาแบบอย่างดานิเอลเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง.

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บันทึกประจำวันแห่งหลักความจริง

จันทร์
ข้อลึกลับแห่งพระคุณที่ลึกลับซับซ้อนได้ถูกเปิดเผยออกโดยอัครฑูรคือเปาโล

ทั้งอับราฮาม, ดาวิด และผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ และดานิเอลก็ไม่ได้เห็น ข้อลับลึกแห่งคริสตจักร ซึ่งถูกซ่อนไว้ตลอดทุกยุคทุกสมัย.

ตามนิมิตของดานิเอล หลังจากที่พระคริสต์ สำเร็จการไถ่แล้ว ก็เสด็จไปหาพระเจ้า ในการเสด็จสู่สวรรค์ทันที เพื่อจะรับอาณาจักร.

เขาไม่ได้ตระหนักว่า ระหว่างการมาปรากฏครั้งแรก กับครั้งที่สองของพระคริสต์นั้น มีช่วงเวลาหนึ่ง ที่พระเจ้าจะทรงกระทำ การงานที่ดีเลิศและลับลึก อยู่บนพื้นฐาน แห่งการไถ่ของพระคริสต์.

การงานนี้คือ
การให้พลไพร่ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ ได้รับการบังเกิดใหม่
และจากนั้นก็แบ่งแยกบริสุทธิ์,
เปลี่ยนใหม่,
เปลี่ยนแปลง,
และถอดแบบพวกเขา ตามพระฉายา
อันสง่าราศีของพระคริสต์.

อฟ.3:3-11
เปาโลเป็นอัครฑูรที่ไดเปิดเผยข้อลับลึกแห่งคริสจักรที่ซ่อนเร้นที่ดานิลเอลไม่สามารถมองเห็นในช่องว่างแห่งพระคุณนี้ได้

• • • • • • • • • • •
การปฏิบัติของอัครฑูรคือทำให้การเปิดเผยนี้สำเร็จเพื่อก่อกำเนิดคริสตจักร


วันอังคาร การสู้รบฝ่ายวิญญาศัตรูที่มองไม่เห็นด้วยการอธิษฐาน
อาณาจักรก็ได้มอบให้แก่ท่าน เพื่อผู้คนทุกเผ่าพันธุ์, ทุกชาติ, และทุกภาษาจะปรนนิบัติท่าน. อำนาจครอบครองของพระองค์ เป็นอำนาจครอบครองที่นิรันดร์ ซึ่งจะไม่สิ้นสุดไป

ในบทที่ 11 ดานิเอล บทที่ 10 ได้แสดงให้เราเห็นถึง โลกฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่เบื้องหลังโลกฝ่ายกายภาพ. ในการที่เราจะรู้จัก แผนการบริหารของพระเจ้า และรู้ว่าในแผนการบริหาร ของพระเจ้านั้น พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลาง และการแพร่หลาย แห่งการเคลื่อนไหวของพระเจ้า

เราจะต้องมองเห็น เรื่องราวฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวฝ่ายกายภาพ....ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคริสต์ทรงเป็นเอก.

ทูตสวรรค์ผู้ส่งสาร ได้มาบอกดานิเอล ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังโลกฝ่ายกายภาพ.

เขาบอกดานิเอลว่า ตัวเขาเองได้ต่อสู้กับ เจ้าผู้พิทักษ์อาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งก็คือวิญญาณชั่วที่กบฏ.

จากนั้นก็บอกดานิเอลว่า มีวิญญาณชั่วอีกวิญญาณหนึ่ง คือเจ้าผู้พิทักษ์แห่งกรีก (ยาวาน). ทั้งยังมีทูตสวรรค์มิคาเอล ซึ่งเป็นเจ้าผู้พิทักษ์ ที่ต่อสู้เพื่ออิสราเอล.

ในบทที่ 5 เรามองเห็นว่า เบละซาซัรได้ปล่อยตัว ไปกับการสำมะเลเทเมาอย่างไร และในคืนเดียวกันนั้นเอง ดาระยาศกษัตริย์แห่งมีเดีย ได้เสด็จมาทำลายและ ประหารเขาอย่างไร.

แต่เรามองไม่เห็นว่า มีวิญญาณกำลังต่อสู้ เพื่อดาระยาศอยู่. ดานิเอล 11:1 กล่าวว่า "ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ในปีต้นแห่งรัชกาลดาระยาศ กษัตริย์แห่งมีเดีย ข้าพเจ้าเป็นตัวตั้งตัวตี ที่ให้กำลังแก่เขา."
ดาระยาศเข้มแข็ง แม้ว่าจะชราแล้ว ก็เพราะทูตสวรรค์องค์นี้ ได้ค้ำชูและให้กำลังแก่เขา. ทูตผู้ส่งสาร เพิ่มกำลังแก่ดาระยาศ เพื่อมาทำลายชาวบาบิโลน เพราะการมอบหมาย ที่พระเจ้ามีต่อจักรวารรดิบาบิโลนนั้น สำเร็จครบถ้วนแล้ว

ซาตานผู้เป็นดาวประจำรุ่ง, บุตรแห่งอรุโณทัย เป็นหนึ่งในทูตสวรรค์องค์แรกๆ
(เหล่าบุตรของพระเจ้า-โยบ.38:7, เทียบ โยบ.1:6)
ที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างขึ้น ในตอนเริ่มต้นของจักรวาล. พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้มัน เป็นประมุขของทูตสวรรค์ทั้งปวงและต่อมาหลังจากที่มันกบฏต่อพระเจ้า ก็ได้กลายมาเป็นซาตาน ศัตรูของพระเจ้า...เพราะเหตุการกบฏของมัน ลูซิเฟอร์ในฐานะที่เป็นซาตาน จึงถูกพระเจ้าพิพากษา.

ยะซายา 14:12-15 พิจารณาว่า ลูซิเฟอร์กับนะบูรคัศเนซัร กษัตริย์แห่งบาบิโลนเป็นคนๆ เดียวกัน

นะบูรคัศเนซัรเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ของซาตาน เป็นผู้ที่เป็นหนึ่งกับซาตาน (เทียบ ยอค.28:12).

กรณีนี้เปิดเผยถึง อาณาจักรแห่งความมืดของซาตาน ที่อยู่เบื้องหลังบรรดาประชาชาติ
(อฟ.6:12ข; เทียบ ดนอ.10:13, 20)
และการที่มันเป็นหนึ่ง กับเหล่าผู้ปกครองชาติต่างๆ.
(ยซย.14:12, คำอธิบาย 1)

การสู้รบฝ่ายวิญญานกับศัตรูที่มองๆไม่เห็นด้วยการอธิษฐานด้วยการอดอาหารอธิษฐานเหมือนอย่างดานิลเอลที่อดอาหารอธิษฐาน21วัน
• • • • • •

พุธ

ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงเป็นตัวแทน ของพลไพร่ของพระเจ้า แต่คือตัวแทนของพระเจ้า**

** ด้านหน้าของผู้หญิง มีมังกรตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องหมายเล็งถึง ศัตรูของพระเจ้า. สงครามระหว่างผู้หญิงกับงู หรือมังกรนั้น ได้ดำเนินอยู่ตลอดทุกยุคสมัยที่ผ่านมา. *

ผู้คนในโลกสามารถมองเห็น เพียงเรื่องราวที่ปรากฏชัด ทางภายนอก เช่น การค้า, การเมือง, อุตสาหกรรม, การศึกษา, การสงคราม...

.พวกเขารู้เพียงว่า พวกเขาต้องได้รับการศึกษาที่ดี จึงจะได้งานที่ดี เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี. พวกเขามองไม่เห็น นิมิตของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในจักรวาล. **

แต่เรามองเห็นอย่างชัดเจนว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น.

**ผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ ของพลไพร่ของพระเจ้า
และเป็นตัวแทนของพระเจ้า

**กรณีนี้เป็นหมายสำคัญเล็งว่า เราซึ่งเป็นพลไพร่ของพระเจ้านั้น เป็นภรรยาของพระองค์ และเราต้องเป็นตัวแทน ของพระองค์อย่างครบถ้วน. **

*พระเจ้าทรงเป็นสามีเพียงหนึ่งเดียว และเราซึ่งเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ก็เป็นตัวแทนของพระองค์. *

พระเจ้าทรงมีศัตรู. เริ่มแรกศัตรูตัวนี้เป็นเพียงงูตัวเล็กๆ. แต่สุดท้ายมันได้กลายเป็นมังกรใหญ่ ที่บัดนี้อยู่ตรงหน้าเรา.(งูเฒ่า)

สิ่งที่มาขัดขวางกิตติคุณ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมทางภายนอก แต่คือซาตาน. **

สิ่งที่มาครอบงำมนุษย์ และทำให้พวกเขา ไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่ใช่ทั้งความสัมพันธ์ของมนุษย์, ฝ่ายโลก, หรือเนื้อหนัง แต่คืออำนาจ แห่งความมืดของซาตาน. **



**เรายังรู้ว่าสาเหตุ ของความสับสนวุ่นวาย, การแก่งแย่ง, ความเยือกเย็น และการเสื่อมเสีย ในคริสตจักรทั้งหมด ล้วนไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด นอกจากซาตาน

การงานทั้งหมดของคริสตจักร ต้องถูกกำกับไว้ โดยหลักการ แห่งอาณาจักรของพระเจ้า.

การช่วยดวงวิญญาณ, การขับผี, และการงานอื่นๆ ล้วนต้องอยู่ภายใต้หลักการ แห่งอาณาจักรของพระเจ้าทั้งสิ้น...**

**เราต้องทำงาน โดยยืนอยู่บนฐานะ แห่งอาณาจักรของพระเจ้า และเราต้องใช้อาณาจักรของพระเจ้า มาจัดการกับฤทธิ์เดชของซาตาน. **

หลักการแห่งการงานของพระเจ้าคือ พระองค์จะรอคอย ให้พลไพร่ของพระองค์ มีการเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นพระองค์จึงค่อยเคลื่อนไหว.

• • • • • •
พฤหัส

การมาถึงของอาณาจักร มีสองด้าน:
1. ความเที่ยงแท้แห่งอาณาจักร (มธ.5:3) ซึ่งอยู่ในการดำเนินชีวิตคริสตจักร ที่ถูกต้องในวันนี้ (รม.14:17)
2. และการมาปรากฏ แห่งอาณาจักร ในอาณาจักรพันปี ซึ่งจะถูกนำเข้ามา โดยเหล่าผู้เชื่อที่มีชัยชนะ.

กรณีนี้ก็หมายความว่า  คริสตจักรทั้งหลายก็คืออาณาจักร. การดำเนินชีวิต คริสตจักรที่ถูกต้องก็คือ ความเที่ยงแท้แห่งอาณาจักร...

จุดมุ่งหมายที่พระเจ้า มีสำหรับคริสตจักรคือ การได้มาซึ่งอาณาจักร และเพื่อสิ่งนี้ ผู้เชื่อทั้งหมดของพระองค์ จำต้องสุกงอมจนถึงขั้นที่ พวกเขาสามารถมีชีวิตเป็นอยู่ ในความเที่ยงแท้แห่งอาณาจักร และนำการปรากฏ แห่งอาณาจักรเข้ามา.
• • • • • • • • • •

ศุกร์

ในฐานะพระกายของพระคริสต์ คริสตจักร เป็นการสานต่อของพระคริสต์. ทุกสิ่งที่เป็นของพระคริสต์ ก็เป็นของคริสตจักร.
ในสายพระเนตรของพระเจ้า คริสตจักรมีความสำคัญ เป็นอย่างมาก. ฐานะของคริสตจักร กับพระคริสต์นั้น ถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน และ

เรื่องที่คริสตจักร ต้องรับผิดชอบก็คือ การสานต่อการสู้รบ ที่พระคริสต์ทรงกระทำบนแผ่นดินโลก. **

ท่าทีในชัยชนะต่อมารเราต้องทำอย่างไร
บรรทัดที่5
เราต้องมีจุดยืน
คริสตจักร ในฐานะพระกายของพระคริสต์ ก็คือการแผ่ขยายของพระองค์ โดยการสานต่อจุดยืน และการงานในการต่อสู้ กับศัตรูของพระเจ้า
1. จุดยืนคือการเสด็จสู่สวรรค์สถานของพระคริสต์
2. สานต่อการงานที่พระองค์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนมีชัยชนะต่อมาร

ดานิเอลอธิษฐานพระเจ้าฟังเพราะอยู่ในจุดยืนการงานที่ถูกต้อง
• • • • • • • • • • • • • • • • • • •
เสาร์

**การประกาศกิตติคุณ ไม่เพียงแต่กระทำให้ตาของมนุษย์ ถูกเปิดออก ไม่เพียงแต่กระทำให้มนุษย์ หลุดพ้นจากความมืด มาสู่ความสว่าง ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พวกเขาหลุดพ้น จากอำนาจของซาตาน...**

**ตามโกโลซาย 1:13 การหลุดพ้นจากอำนาจแห่งความมืด ก็คือการหลุดพ้นจากอำนาจของซาตาน และก็คือการหลุดพ้น จากอาณาจักรของซาตาน. และการถูกย้ายเข้าสู่ อาณาจักรแห่งพระบุตร ที่รักของพระเจ้า ก็คือการถูกย้ายเข้าสู่ อาณาจักรของพระเจ้า. **

**จุดประสงค์ของการสู้รบฝ่ายวิญญาณ คือการนำมาซึ่ง อาณาจักรของพระเจ้า. นี่ก็คือหัวข้อ ของเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์.

ข้อพระคำเพื่อการฝึกฝนในหนทางแห่งชีวิต

อฟ.6:11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัด และจะต่อต้านยุทธอุบาย ของมารได้.

วว.12:10        ...บัดนี้ความรอด, ฤทธิ์เดช, อาณาจักรของพระเจ้า, และอำนาจแห่งพระคริสต์ของพระองค์ ก็มาถึงแล้ว เพราะผู้ฟ้องร้องพวกพี่น้องของเรา ที่คอยฟ้องร้องเขาอยู่ ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าทั้งกลางวัน และกลางคืนนั้น ถูกเหวี่ยงลงไปแล้ว.


กซ.1:13 และทรงช่วยเราทั้งหลาย ให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด และทรงย้ายเราเข้าสู่อาณาจักร แห่งพระบุตรที่รักของพระองค์.

ดนอ.7:27        อาณาจักรและอำนาจครอบครอง และความยิ่งใหญ่ แห่งบรรดาอาณาจักร ภายใต้สวรรค์ทั้งสิ้น จะต้องถูกมอบไว้ แก่เหล่าวิสุทธิชน ที่เป็นพลไพร่ขององค์ผู้สูงสุดนั้น อาณาจักรของพระองค์ เป็นอาณาจักรที่นิรันดร์"

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ด้วยความเชื่อที่มั่นคงต่อพระกิตติคุณที่นิรันดร์ของพระเจ้า

*เอเฟโซ 3:17 กล่าวว่า "เพื่อพระคริสต์จะได้พักพิง อยู่ในใจของท่านโดยความเชื่อ." **

1ตธ.1:4 กล่าวถึง "แผนการบริหารของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในหลักความเชื่อ"

ในพันธสัญญาใหม่นั้น
ข้อเรียกร้องที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา ก็คือความเชื่อ.

ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ไม่สามารถเข้าใจ เรื่องราวฝ่ายวิญญาณใดๆ ได้. •

โดยความเชื่อ เราจึงรู้ได้ว่ามีพระเจ้า พระคริสต์ และพระวิญญาณ.

โดยความเชื่อ เรารู้ว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในสวรรค์ และก็อยู่ในวิญญาณของเราด้วย.

โดยความเชื่อ เรารู้ว่าพระคัมภีร์ เป็นพระคำของพระเจ้า

โดยความเชื่อ เรารู้ว่าเราได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ และได้รับการอภัยจากพระเจ้า.

โดยความเชื่อ เราได้รับการแบ่งแยกบริสุทธิ์ เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนใหม่ และในที่สุดก็ได้รับสง่าราศี.

โดยความเชื่อ เราก็ได้เป็นผู้มีชัยชนะด้วย. ทุกสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณนั้น ล้วนสามารถเข้าใจได้โดยความเชื่อ.

ยุคนี้จึงเป็นยุคแห่งความเชื่อ และยุคแห่งข้อลับลึกนั่นเอง.

ความเชื่อทำให้เราแน่ใจ ในสิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้เราเชื่อมั่น ถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น ดังนั้นความเชื่อ จึงเป็นหลักฐาน หรือข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น

ความเชื่อที่ถูกต้องจึงเป็นองค์ประกอบอันศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งเป็นตัวของพระเจ้าเองที่ได้ถ่ายเทเข้าสู่ภายในเรา กลายเป็นความสามารถ ที่มาทำให้สิ่งที่มองไม่เห็น แปรสภาพให้เป็นแก่นสาร

ความเชื่อเป็นการรับรู้ ที่นอกเหนือจาก ประสาทสัมผัสทั้งห้า ที่เรามีมาตั้งแต่เกิด.

2โกรินโธ 4:18 กล่าวว่า "ด้วยว่าเราไม่ได้คำนึงถึง สิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่คำนึงถึงสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นสิ่งที่นิรันดร์.

**" สิ่งที่มองเห็นนั้น เป็นการทนทุกข์เพียงชั่วคราว ทว่าสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นของอันสง่าราศีที่นิรันดร์. **


เปาโลไม่ได้คำนึงถึง การทนทุกข์ยาก สภาพแวดล้อม ความยากจน การต่อต้าน การข่มเหง หรือการบดคั้น. สิ่งเหล่านั้น คือสิ่งที่มองเห็น ล้วนเป็นสิ่งที่ชั่วคราว.
เขาคำนึงถึง แต่สิ่งที่เป็นนิรันดร์เท่านั้น

ข้อลับลึกแห่งกิตติคุณ คือพระคริสต์และคริสตจักร
เพื่อที่จะสำเร็จ พระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระเจ้า. •

**คริสเตียนบางคนประกาศกิตติคุณ ที่ไม่มีข้อลับลึก. ทว่าเปาโลได้ป่าวประกาศ ข้อลับลึกแห่งกิตติคุณ.
ข้อลับลึกนี้บอกเป็นนัยถึง แผนการบริหาร แห่งพันธสัญญาใหม่ทั้งหมด. ***

พระคริสต์ทรงเป็น ข้อลับลึกของพระเจ้า และคริสตจักร เป็นข้อลับลึกของพระคริสต์.

ข้อลับลึกทั้งหมดนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับกิตติคุณทั้งสิ้น.

ภาระของเราก็คือ การทำให้ข้อลับลึกแห่งกิตติคุณนั้น ถูกแพร่หลายออกไป

อธิษฐานให้องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานคำพูด และเปิดปากของเราด้วยใจกล้า เพื่อที่จะสั่งสอน และประกาศข้อลับลึกแห่งกิตติคุณนี้.

เราทุกคนจะต้องป่าวประกาศกิตติคุณ ด้วยวิธีการที่สูงส่งเช่นนี้.

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การปรนนิบัติพระเจ้าจะถูกฟื้นฟูขึ้นมา.

จุดประสงค์ด้านสุดท้าย ของเจ็ดสิบสัปตคือ
เพื่อชโลมที่บริสุทธิ์สุด.
ในเวลาที่ดานิเอลอธิษฐานนั้น ที่บริสุทธิ์สุดยังแปดเปื้อน, เป็นมลทิน, และถูกทำลาย.
แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ที่บริสุทธิ์สุด จะได้รับการชโลมอย่างเหมาะสม.
กรณีนี้หมายความว่า การปรนนิบัติพระเจ้า จะถูกฟื้นฟูขึ้นมา.

ดานิเอล 9:24-27 บอกถึงเจ็ดสิบสัปต.

เจ็ดสิบสัปตถูกแบ่งเป็นสามส่วน
แต่ละสัปตมีระยะเวลาเจ็ดปี ไม่ใช่เจ็ดวัน....

1.ส่วนแรกกำหนดไว้เจ็ดสัปต (49 ปี) นับตั้งแต่เวลาที่มีคำบัญชา ให้ฟื้นสภาพและ ก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึงเวลาที่ก่อสร้างเสร็จสิ้น (ข้อ 25)....

2.ส่วนที่สองกำหนดไว้ หกสิบสองสัปต (434 ปี) นับตั้งแต่เวลาที่เสร็จสิ้น การก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึงเวลาที่พระมาซีฮาถูกตัดออก (ข้อ 25-26)....

3.ท้ายที่สุดในข้อ 27 เสัปตสุดท้าย ซึ่งมีอยู่เจ็ดปี.

สัปตนี้จะเป็นเวลาที่ผู้ต่อต้านพระคริสต์ ได้ทำพันธสัญญาอย่างมั่นคง กับพลไพร่ชาวอิสราเอล

ในจักรวาลนี้ มีข้อลับลึกอันศักดิ์สิทธิ์

ในจักรวาลนี้ มีข้อลับลึกอันศักดิ์สิทธิ์
ข้อลับลึกนี้แบ่งเป็นสองส่วน.
1. ข้อลับลึกของพระเจ้า ซึ่งก็คือตัวของพระคริสต์
2. ข้อลับลึกของพระคริสต์.

 ข้อลับลึกของพระคริสต์ แตกต่างจากข้อลับลึกของพระเจ้า.
 ข้อลับลึกของพระคริสต์ คือพระกายของพระคริสต์ ซึ่งก็คือคริสตจักร
(อฟ.3:4, 6

ดานิเอลฉับบฟื้นฟู บทที่2ข้อ32ถึง33 บทที่7ข้อ12

ดนอ.2:32-33    
เศียรของปฏิมากรนี้ เป็นทองคำเนื้อดี อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองเหลือง. ขาเป็นเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดิน.
ดนอ.7:12       
 ส่วนเรื่องสัตว์ที่เหลืออยู่นั้น อำนาจของมันก็ถูกแย่งชิงไปเสีย แต่ชีวิตของมันนั้นยังอยู่ต่อไป จนถึงวาระและเวลาที่กำหนดไว้.

นิมิตแห่งรูปปฏิมากรใหญ่ นิมิตที่ควบคุมอยู่ในหนังสือดานิเอล

นิมิตแห่งรูปปฏิมากรใหญ่ นิมิตที่ควบคุมอยู่ในหนังสือดานิเอล

รูปปฏิมากรใหญ่นี้ เป็นเครื่องหมายเล็งถึง
การรวบยอด แห่งการปกครองทั้งหมดของมนุษย์

การปกครองของมนุษย์ ได้กระทำสามสิ่งนี้มาโดยตลอด:
1.  กบฏต่อพระเจ้า,
2. ยกชูมนุษย์,
3. กราบไหว้รูปเคารพ

การรวบยอดแห่งจักรวรรดิของมนุษย์ ซึ่งเริ่มจากนิมโรดที่บาเบล ก็จะสำเร็จสุดยอด ที่ซีซาร์องค์สุดท้าย ของจักรวรรดิโรมันกับกษัตริย์สิบองค์.

ดังนั้น ถ้าว่าตามพระคัมภีร์ ในวันนี้เราก็ยังคงอยู่ ในจักรวรรดิโรมัน.

วันนี้เรายังคงอยู่ภายใต้ อิทธิพลของวัฒนธรรมโรมัน โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมาย, การเมือง, และการปกครอง จึงอาจกล่าวได้ว่า จักรวรรดิโรมันยังคงดำรงอยู่ และเราก็ยังคงอยู่ในจักรวรรดินี้.
ในสายพระเนตรของพระเจ้า การปกครองทั้งหมดของมนุษย์ ตั้งแต่นิมโรดจนถึงผู้ต่อต้านพระคริสต์ คือบาบิโลน.

วันนี้เราอยู่ในส่วนใด ของปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์นี้. ผลจากการศึกษาพระคัมภีร์ และสถานการณ์ของโลก มากว่าหกสิบปี
เชื่อว่าวันนี้ เรากำลังอยู่ที่เท้าของรูปปฏิมากร ใกล้กับนิ้วเท้าสิบนิ้วเต็มที. สถานการณ์ของโลก โดยเฉพาะสถานการณ์ของทวีปยุโรป กำลังถูกเปลี่ยนลักษณะ ให้สอดคล้องกับคำพยากรณ์ ที่อยู่ในพระคัมภีร์. หากเรามีความชัดเจนต่อเรื่องนี้ เราก็จะรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน และเราควรจะทำอะไร. วัฒนธรรม, แก่นแท้, และธาตุแท้ของจักรวรรดิโรมัน ยังคงดำรงอยู่ต่อไป

และการปรากฏ ของนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้ว ซึ่งจะนำพระคริสต์ ผู้เป็นก้อนหินที่มาทุบทำลาย การรวบยอด แห่งการปกครองของมนุษย์เข้ามา และนำมาซึ่งอาณาจักรที่นิรันดร์ ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก.

ส่วนเท้ากับนิ้วเท้า ที่เป็นเหล็กปนดิน (ข้อ 41-43) เป็นเครื่องหมายเล็งถึง นานาประเทศที่อยู่ในช่วงเวลา หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม

และก่อนการเสด็จมา ครั้งที่สองของพระคริสต์. นานาประเทศเหล่านี้ เป็นเผด็จการปนกับประชาธิปไตย.

เท้าทั้งสิบของรูปปฏิมากร เป็นเครื่องหมายเล็งถึง กษัตริย์สิบองค์ ของจักรวรรดิโรมัน ที่เฟื่องฟูและฟื้นฟู ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครอง ของผู้ต่อต้านพระคริสต์

และอธิบายว่า เรากำลังอยู่ในช่วงของเหล็กปนดิน ของรูปปฏิมากร.

ผู้คนนับล้านกำลังลุกฮือขึ้น ในยุโรปตะวันออก. เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีผู้คนนับล้าน ลุกขึ้นมาในจีนแดง เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ. เมื่อดินลุกขึ้นมา เหล็กก็จะอ่อนกำลังลง.

ชะตากรรมของปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์คือ เมื่อก้อนหินที่ถูกตัดออกมาโดยไม่เห็นมือ ได้ปรากฏออกมา ทำการบดขยี้มันจนแหลกละเอียด (ดนอ.2:34-35ก, 44ข-45; 7:13-14).

ก้อนหินที่ถูกตัดออกมา โดยไม่เห็นมือนี้ก็คือพระคริสต์. ในฐานะก้อนหิน ที่จะมาบดขยี้ การปกครองทั้งหมดของมนุษยชาติ

พระคริสต์จะไม่ถูกตัดออกมา โดยมือมนุษย์ (ดังที่ได้บ่งชี้โดยวลี "โดยไม่เห็นมือ" ใน 2:34, 45).

แต่ถูกพระเจ้าตัด โดยผ่านการตรึงตาย และการเป็นขึ้นของพระองค์.

โดยการตรึงตาย พระองค์ทรงถูกตัด โดยถูกประหารให้ตาย (กจ.2:23)

และในการเป็นขึ้น พระองค์ทรงถูกตัด โดยกลายเป็นศิลาหัวมุม เพื่อการก่อสร้างคริสตจักร และศิลาที่มาบดขยี้ เพื่อมาทุบทำลายการสรุปรวม แห่งการปกครองของมนุษย์ (กจ.2:24; มธ.21:42, 44ข). (Life-study of Daniel, p. 16)

ในการมาปรากฏของพระองค์ ในฐานะก้อนหินที่ถูกตัดออกมา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ พระคริสต์ทรงบดขยี้รูปปฏิมากรใหญ่ ตั้งแต่นิ้วเท้าไปจนถึงหัว.

กรณีนี้หมายความว่า พระองค์จะทรงทุบทำลาย กษัตริย์สิบองค์ พร้อมกับผู้ต่อต้านพระคริสต์.

วิวรณ์บทที่ 19 พูดถึงสงครามระหว่างพระคริสต์ กับผู้ต่อต้านพระคริสต์. พระคริสต์จะเสด็จมา พร้อมกับเจ้าสาว ที่เพิ่งสมรสกับพระองค์ ซึ่งประกอบขึ้นจากเหล่าผู้มีชัยชนะ

ส่วนผู้ต่อต้านพระคริสต์ จะมาพร้อมกับกษัตริย์สิบองค์ และกองทัพของพวกเขา.

สงครามในครั้งนี้คือ แผ่นดินต่อสู้กับสวรรค์, มนุษย์ต่อสู้กับพระเจ้า. พระคริสต์จะทรงทำลาย ผู้ต่อต้านพระคริสต์ กับกษัตริย์สิบองค์ และทำให้มันพ่ายแพ้ไป.

"ส่วนเหล็ก, ดิน, ทองเหลือง, เงินและทองคำ ก็ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดไป พร้อมๆ กัน กลายเป็นเหมือนแกลบ จากลานนวดข้าวในฤดูร้อน และลมก็พัดพาเอาไป จนหาร่องรอยไม่พบอีก.

" ข้อนี้เป็นเครื่องหมายเล็งถึง การทำลายการปกครองทั้งหมดของมนุษย์ ตั้งแต่นิมโรด จนถึงผู้ต่อต้านพระคริสต์อย่างครบถ้วน. การปกครองของมนุษย์ จะถูกทำลายโดยพระคริสต์ ในการมาปรากฏของพระองค์ ในฐานะก้อนหิน ที่ถูกตัดออกมาโดยพระเจ้า.

พระคริสต์ทรงเป็นศิลาในสามด้าน.

1. ด้านแรก ต่อผู้เชื่อทั้งหลาย พระคริสต์ทรงเป็นศิลาราก ที่พวกเขาเชื่อวางใจ. สำหรับพระคริสต์ ผู้เป็นศิลาในด้านนี้ ยะซายา 28:16 กล่าวว่า "ดูเถิด เราวางศิลาไว้ในซีโอน เพื่อเป็นรากฐาน คือศิลาที่ผ่านการทดสอบ เป็นศิลาหัวมุมอย่างประเสริฐ เป็นรากฐานอันมั่นคง."
2. ด้านที่สอง ต่อชาวยิวที่ไม่เชื่อ พระคริสต์ทรงเป็นศิลา ที่ทำให้สะดุด (ยซย.8:14; รม.9:33). เกี่ยวกับด้านนี้ มัดธาย 21:44ก กล่าวว่า "ผู้ใดล้มทับศิลานี้ ผู้นั้นจะต้องแตกละเอียดไป."
3. ด้านที่สาม ต่อบรรดาประชาชาติ พระคริสต์ทรงเป็นศิลา ที่มาบดขยี้ "ศิลานี้จะตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะถูกกระแทกเป็นธุลี และปลิวว่อนไปดังแกลบ" (มธ.21:44ข) (Life-study of Daniel, pp. 16-17)

ชะตากรรมของปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์ คือการถูกบดขยี้ โดยก้อนหินที่ถูกตัดออกมา โดยไม่เห็นมือ (ดนอ.2:34-35ก, 44ข-45). หินก้อนนี้ก็คือพระคริสต์.
หลังจากงานมงคลสมรสของพระคริสต์ พระองค์จะเสด็จมา ทั้งในฐานะศิลาที่มาบดขยี้ และผู้ที่จะมาเหยียบย่ำบ่อองุ่น (วว.19:15; 14:19-20; ยซย.63:2-3).

ผู้ต่อต้านพระคริสต์ จะรวบรวมผีมารจำนวนมหาศาล, มนุษย์ที่กบฏ รอบกรุงเยรูซาเล็ม นั่นก็คือการตระเตรียม "องุ่น" ที่จะถูกพระคริสต์เหยียบย่ำใน "บ่อย่ำองุ่น."

การเสด็จมาของพระองค์ จะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ

เพราะผู้ที่กบฏเหล่านั้น จะไม่เชื่อทั้งในพระคริสต์ และในพระเจ้า พวกเขาเชื่อแต่ตัวเองเท่านั้น.

ผู้ต่อต้านพระคริสต์จะกล่าวว่า ตัวมันเองเป็นพระเจ้าด้วยซ้ำไป (2ธซ.2:4; ดนอ.11:36)

จากนั้นพระคริสต์ ในฐานะก้อนหินที่ถูกตัด โดยพระเจ้าก็จะเสด็จมา พร้อมกับเจ้าสาวของพระเจ้า เพื่อกระแทกนิ้วเท้าของรูปปฏิมากร และทำลายรูปนั้นตั้งแต่นิ้วเท้า ไปจนถึงหัว. (Life-study of Daniel, pp. 17-18)
เลือกอ่านค้นคว้า: Life-study of Daniel, msg. 3

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จุดประสงค์ของเจ็ดสิบสัปต

พระเจ้าทรงตอบดานิเอล ด้วยการส่งทูตสวรรค์ฆับริเอล มาประทานรายงาน เกี่ยวกับนิมิตแห่งเจ็ดสิบสัปต (ข้อ 20-27).

คำตอบนี้เหนือล้ำยิ่งกว่า สิ่งที่ดานิเอลได้ทูลขอเสียอีก.

ข้อ 24-27 คือเนื้อหาของนิมิตนี้.
เนื้อหาก็คือเจ็ดสิบสัปต...

.เจ็ดสิบสัปต เป็นจุดหมายที่พระเจ้า ทรงกำหนดไว้แก่พลไพร่ และเมืองบริสุทธิ์ของพระองค์ (ข้อ 24ก)....

จุดประสงค์ของเจ็ดสิบสัปต


1. เพื่อให้ยุติการละเมิด,
2. เพื่อให้บาปจบสิ้น,
3. เพื่อให้ระงับพระพิโรธ ที่มีต่อความชั่วช้า,
4. เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา,
5. เพื่อปิดผนึกทั้งนิมิต และคำของผู้เผยพระวจนะไว้,
6. เพื่อจะชโลมที่บริสุทธิ์สุด" (ข้อ 24ข).

ดานิเอลฉับบฟื้นฟู บทที่9 เจ็ดสิบสัปตในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คือกุญแจในการทำความเข้าใจ ต่อคำพยากรณ์ทั้งหมด ที่อยู่ในพระคัมภีร์.

ดนอ.9:2 ...ข้าพเจ้าดานิเอล ได้เข้าใจถึงจำนวนปีจากพระคำ...ถึงการครบกำหนดเจ็ดสิบปี แห่งการรกร้างของกรุงเยรูซาเล็ม


ดนอ.9:24 เจ็ดสิบสัปตถูกกำหนดไว้ เพื่อพลไพร่ของท่าน และเพื่อเมืองบริสุทธิ์ของท่าน เพื่อให้ยุติการละเมิด ให้บาปจบสิ้น และให้ระงับพระพิโรธ ที่มีต่อความชั่วช้า เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามา เพื่อปิดผนึกทั้งนิมิต และคำของผู้เผยพระวจนะไว้ และเพื่อจะชโลมที่บริสุทธิ์สุด

ดานิเอล 9:24-27 เป็นข้อความที่ล้ำค่าที่สุด ในหนังสือดานิเอล. เจ็ดสิบสัปตในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คือกุญแจในการทำความเข้าใจ ต่อคำพยากรณ์ทั้งหมด ที่อยู่ในพระคัมภีร์
.

สิบสองตะกร้า เล่ม3 วอท์ชแมน นี 1


วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเชื่อของคนในยุคสุดท้ายจะเป็นแบบนี้








(2ทธ. 3:1 [ThaiKJV])
แต่จงเข้าใจข้อนี้ด้วย คือว่าในวันสุดท้ายนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค
 

(2ทธ. 3:2 [ThaiKJV])
เหตุว่าคนจะเป็นคนรักตัวเอง เป็นคนเห็นแก่เงิน เป็นคนอวดตัว เป็นคนจองหอง เป็นคนพูดหมิ่นประมาท เป็นคนไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา เป็นคนอกตัญญู เป็นคนไร้ศีลธรรม
 

(2ทธ. 3:3 [ThaiKJV])
เป็นคนไม่รักซึ่งกันและกัน เป็นคนไม่ทำตามสัญญา เป็นคนหาความใส่เขา เป็นคนไม่มีสติรั้งใจ เป็นคนดุร้าย เป็นคนชังคนดี
 

(2ทธ. 3:4 [ThaiKJV])
เป็นคนทรยศ เป็นคนมุทะลุ เป็นคนหัวสูง เป็นคนรักความสนุกสนานยิ่งกว่ารักพระเจ้า
 

(2ทธ. 3:5 [ThaiKJV])
เขามีสภาพทางของพระเจ้าภายนอก แต่ฤทธิ์ของทางนั้นเขาปฏิเสธเสีย คนอย่างนี้ท่านจงผินหน้าหนีจากเขาเสียด้วย
 

 




ดานิเอลบทที่.9 ข้อ26-27 ฉับบฟื้นฟู

ดนอ.9:26-27
หลังจากหกสิบสองสัปตแล้ว พระมาซีฮาจะถูกตัดออก...และพลไพร่ของเจ้าชายผู้หนึ่งที่จะมานั้น จะทำลายเมือง และสถานที่บริสุทธิ์เสีย...

.เขาจะทำพันธสัญญาอย่างมั่นคง กับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปต และในระหว่างกลางสัปตนั้น เขาจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆหยุดไป และจะแทนที่เครื่องสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ ด้วยสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ของผู้ที่ก่อให้เกิดความร้างเปล่านั้น...

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข้าพเจ้ามีชีวิตเป็นอยู่เพื่อแสวงหาพระเจ้าองค์พระเยซูเจ้า เอเมน.

ฟป. 3:20
 
ฝ่ายเราเป็นชาวสวรรค์ เรารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้า

เราควรจะมีชีวิตเป็นอยู่ โดยรักการมาปรากฏ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
เราต้องมีท่าทีในการเป็นผู้มีชัยชนะ

1. สิ่งนี้จะทำให้เราไม่ท้อแท้,
2. ไม่ท้อถอย
3. ไม่อ่อนแอ
4. แต่จะสัตย์ซื่อจนถึงที่สุด.
5. อธิษฐานสู้รบอยู่เสมอ





 ทุกวันที่เรายังมี "วันนี้" อยู่นั้นเป็นพระคุณ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง.

ดังนั้นตราบเท่าที่เรายังมีวันนี้
ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ
เราจึงควรรักองค์พระผู้เป็นเจ้า
และการมาปรากฏของพระองค์

โดยรอคอยการเสด็จมา ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(ฟป.3:20)
และควรยึดการเสด็จมาของพระองค์ เป็นการหนุนใจเสมอ.

ขอบคุณพระเจ้าที่หนุนจิตใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก
ในการดำเนินชีวิตมุ่งแสวงหาพระเจ้าตลอดเวลา เอเมน.

ดานิเอล ฉับบฟื้นฟู ดนอ.2:28

ดนอ.2:28       
 แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์

ผู้ทรงเผยความลึกลับทั้งหลาย

 และพระองค์ทรงให้กษัตริย์นะบูคัศเนซัรรู้ถึง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันสุดท้าย พระสุบินของ

พระองค์ และนิมิตที่ผุดขึ้น

ในพระเศียรของพระองค์

บนพระแท่นนั้นเป็นดังนี้.

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นิมิตแห่งรู​ปปฏิมากรให​ญ่ -นิมิตที่ค​วบคุมอยู่ใ​นหนังสือดา​นิเอล

นิมิตแห่งรูปปฏิมากรใหญ่ -นิมิตที่ควบคุมอยู่ในหนังสือดานิเอล
วันจันทร์
รูปปฏิมากรใหญ่นี้ เป็นเครื่องหมายเล็งถึง การรวบยอด แห่งการปกครองทั้งหมดของมนุษย์

การปกครองของมนุษย์ ได้กระทำสามสิ่งนี้มาโดยตลอด:
กบฏต่อพระเจ้า,
ยกชูมนุษย์,
และกราบไหว้รูปเคารพ

การรวบยอดแห่งจักรวรรดิของมนุษย์ ซึ่งเริ่มจากนิมโรดที่บาเบล ก็จะสำเร็จสุดยอด ที่ซีซาร์องค์สุดท้าย ของจักรวรรดิโรมันกับกษัตริย์สิบองค์.

ดังนั้น ถ้าว่าตามพระคัมภีร์ ในวันนี้เราก็ยังคงอยู่ ในจักรวรรดิโรมัน.



วันนี้เรายังคงอยู่ภายใต้ อิทธิพลของวัฒนธรรมโรมัน โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมาย, การเมือง, และการปกครอง จึงอาจกล่าวได้ว่า จักรวรรดิโรมันยังคงดำรงอยู่ และเราก็ยังคงอยู่ในจักรวรรดินี้.

ในสายพระเนตรของพระเจ้า การปกครองทั้งหมดของมนุษย์ ตั้งแต่นิมโรดจนถึงผู้ต่อต้านพระคริสต์ คือบาบิโลน.

วันนี้เราอยู่ในส่วนใด ของปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์นี้. ผลจากการศึกษาพระคัมภีร์ และสถานการณ์ของโลก มากว่าหกสิบปี ข้าพเจ้าเชื่อว่าวันนี้ เรากำลังอยู่ที่เท้าของรูปปฏิมากร ใกล้กับนิ้วเท้าสิบนิ้วเต็มที. สถานการณ์ของโลก โดยเฉพาะสถานการณ์ของทวีปยุโรป กำลังถูกเปลี่ยนลักษณะ ให้สอดคล้องกับคำพยากรณ์ ที่อยู่ในพระคัมภีร์. หากเรามีความชัดเจนต่อเรื่องนี้ เราก็จะรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน และเราควรจะทำอะไร. วัฒนธรรม, แก่นแท้, และธาตุแท้ของจักรวรรดิโรมัน ยังคงดำรงอยู่ต่อไป

และการปรากฏ ของนิ้วเท้าทั้งสิบนิ้ว ซึ่งจะนำพระคริสต์ ผู้เป็นก้อนหินที่มาทุบทำลาย การรวบยอด แห่งการปกครองของมนุษย์เข้ามา และนำมาซึ่งอาณาจักรที่นิรันดร์ ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก.

ส่วนเท้ากับนิ้วเท้า ที่เป็นเหล็กปนดิน (ข้อ 41-43) เป็นเครื่องหมายเล็งถึง นานาประเทศที่อยู่ในช่วงเวลา หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม

และก่อนการเสด็จมา ครั้งที่สองของพระคริสต์. นานาประเทศเหล่านี้ เป็นเผด็จการปนกับประชาธิปไตย.

เท้าทั้งสิบของรูปปฏิมากร เป็นเครื่องหมายเล็งถึง กษัตริย์สิบองค์ ของจักรวรรดิโรมัน ที่เฟื่องฟูและฟื้นฟู ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครอง ของผู้ต่อต้านพระคริสต์

และอธิบายว่า เรากำลังอยู่ในช่วงของเหล็กปนดิน ของรูปปฏิมากร. ผู้คนนับล้านกำลังลุกฮือขึ้น ในยุโรปตะวันออก. เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีผู้คนนับล้าน ลุกขึ้นมาในจีนแดง เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ. เมื่อดินลุกขึ้นมา เหล็กก็จะอ่อนกำลังลง.